“นักวิชาการดัง” ชี้เป้า ตร.สันติบาล ตรวจสอบ ระบุชัด เนื้อหาหนังสือ อบจ.จุฬาฯ ผิด ม.112 “แรมโบ้” ฟาด “ปิยบุตร” โพสต์หมิ่นเหม่ให้ร้าย ต้องการปฏิรูปสถาบันฯ ศาล กองทัพ “ดร.อานนท์” เย้ย “ธนาธร” ไม่มาศาล! กลัวโจทก์เป็นจำเลย
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (26 ต.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “นักวิชาการดัง” ถอดเนื้อหาหนังสือ อบจ.จุฬาฯ ชี้เป้า ตำรวจสันติบาล พบผิด ม.112
โดยระบุว่า จากกรณีเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการยกเลิกกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ – ธรรมศาสตร์ ที่ถือว่าเป็นประเพณีสำคัญที่ถูกสืบทอดต่อกันมานานนั้น
ทั้งนี้ เมื่อลองย้อนกลับไปดู ภายในเพจของ องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มี นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เป็นนายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ ยิ่งทำให้เห็นการขับเคลื่อนในเรื่องนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะก่อนเพจสาธารณะขององค์การบริหารจุฬาฯ จะออกแถลงการณ์ดังกล่าว องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ก็ได้โพสต์ข้อความ พร้อมภาพที่หลายๆ คน ต่างตั้งคำถามในมุมมองต่อสถาบันฯ โดยมีรายละเอียดว่า
หากความดีเปรียบเป็นสีขาว ความชั่วเปรียบเป็นสีดำ มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นสีเทา แต่ไม่ว่าจะเป็นสีเทาโทนไหน “ความเป็นมนุษย์” ล้วนเท่ากัน
เนื่องในโอกาสครบรอบ 99 ปี หนังสือ “มหาวิทยาลัย” สาราณียกรขอน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “ราชาผู้เป็นที่รัก
ด้วยจุดมุ่งหมายการศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือ “การรับใช้ประชาชน” แผนกสาราณียกรขอเรียนเชิญพี่น้องชาวจุฬาฯ ทั่วไทย ทั่วโลก และผู้มีจิตศรัทธา ร่วมทำความดี ที่มิใช่เพียงการบริจาคเงิน หากแต่เป็นการศึกษาและวิเคราะห์มุมมองประวัติศาสตร์หลากแง่มุม เพื่อประโยชน์แห่งประชาชนอย่างแท้จริง ดังพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สาราณียกรภูมิใจนำเสนอ มหาวิทยาลัย ฉบับ 23 ตุลาคม “ปิยมหาประชานุสรณ์” โดยภายในเล่มนี้ มีเนื้อหามากมายที่ชาวสาราณียกรได้ใช้ความเพียรพยายามและความมุมานะ ร้อยเรียงขึ้น เพื่อพินิจพิจารณามุมมองประวัติศาสตร์แห่ง “ความเป็นมนุษย์” ที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
– ปลุกความ “ชังชาติ” ในตัวคุณ : วาทกรรมว่าด้วยสยามกับการเสียดินแดน
– “กบฏผีบุญ” เลือดอีสานหลั่งรินริมแผ่นดินรัชกาลที่ ๕
– การเลิกทาส ผลพลอยได้จากการสลายขั้วอำนาจ
– ความเชื่อเทวราชากับสังคมไทย
– บอกเล่าเก้าสิบ : บันทึกการสนทนาว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านรัฐไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕
– #มาตรา๑๑๒ ราชนิติธรรมที่มาพร้อมกับการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
– ตุลามหาประชานุสรณ์ – เดือนตุลาฯ เป็นของประชาชน
ล่าสุด วันนี้ 26 ตุลาคม 2564 นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ได้ออกมาโพสต์ภาพหนังสือดังกล่าว พร้อมความคิดเห็นที่น่าสนใจว่า
“หนังสือปิยมหาประชานุสรณ์ ที่ออกมาเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2564 เป็นหนังสือที่ตำรวจสันติบาลควรนำไปพิจารณา เฉพาะเนื้อหาจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 4-5 รวมถึงพระเกียรติยศของพระบรมราชจักรีวงศ์
หนังสือเล่มนี้ ถือเป็นหนังสือเถื่อน เนื้อหาแม้ไม่มีอะไรใหม่ เพราะส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนนักวิชาการพ่อพันธุ์สองเขาสามกีบ ใช้หลักฐานอ้างอิงของพวกแนวความคิดเดียวกัน และเคยเผยแพร่มาแล้วในรูปแบบต่างๆ แต่นำมารวมเล่มเน้นตำหนิติเตียนแดกดันในหลวงรัชกาลที่ 5 หนังสือจึงใช้สมัญญานาม “ปิยมหาราช”
รายชื่อคณะบรรณาธิการ รายนามผู้เขียน พิสูจน์อักษร ไม่กล้าใช้ชื่อจริง แต่ใช้นามแฝงเพราะกลัวถูกฟ้องร้อง เนื้อหาสาระจึงเขียนแบบไม่ต้องรับผิดชอบ ส่วนเนื้อหาบิดเบือนประวัติศาสตร์โดยใช้การตีความ ตีขุม ไม่น่าเชื่อถือ บางส่วนเป็นแค่ครูพักลักจำ เป็นเรื่องเล่า และขัดกันซึ่งวิธีการทางประวัติศาสตร์ อ่านไปก็เกาหัวไปครับ!”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น “แรมโบ้” ฟาด “ปิยบุตร” ระวังไม่ตายดี หลังโพสต์หมิ่นเหม่ให้ร้าย ต้องการปฏิรูปสถาบันฯ ศาล กองทัพ
เนื้อหาระบุว่า สืบเนื่องจากกรณีที่องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ซึ่งมี นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เป็นนายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ นายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) โพสต์แถลงการณ์เรื่อง ยกเลิกกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ จนมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์
และในวันเดียวกัน นายปิยบุตร แสงกนกกุล ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหว ภายหลังประเด็นนี้เกิดขึ้น โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ศาล กองทัพ คือ หนทางสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ชอบหรือไม่ชอบ ผ่านมาถึงวันนี้ ก็ต้องยอมรับตรงกันแล้วว่า ประเด็นปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ศาล กองทัพ กลายเป็นประเด็นสาธารณะ เป็นประเด็นหลัก เป็นประเด็นหัวใจ ของสังคมไทย
นอกจากนี้ นายปิยบุตร ยังทิ้งท้ายว่า การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ศาล กองทัพ จึงเป็นหนทางสร้างฉันทามติใหม่ให้แก่สังคมไทย ให้คนไทยได้อยู่ร่วมกันดังเพื่อนมนุษย์ร่วมชาติอย่างสันติ การเหนี่ยวรั้งขัดขวางการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ศาล กองทัพ การดึงดันก่อรูประบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง คือ หนทางไปสู่ความขัดแย้งอันร้าวลึก ประเทศไทย คนไทย ต้องการแบบไหน?”
ต่อมา นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ทวิตเตอร์ ระบุว่า สภาพสังคมปัจจุบันนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงได้อย่างสันติ แต่การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ศาล เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่รักษาสถาบันกษัตริย์ไว้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ต่างหาก ที่เป็นไปได้ และทำให้ทุกคนอยู่อย่างสันติ #ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
โดย นายเสกสกล ระบุว่า นายปิยบุตร กำลังบิดเบือน ให้ร้ายสถาบันฯอย่างร้ายแรง เพราะประเทศไทยปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข และพระองค์ก็ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อย่างชัดเจน แต่นายปิยบุตรยังคงบิดเบือน
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นั้นได้สิ้นสุดไปตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงได้มอบอำนาจการปกครองให้กับคณะราษฎร ในปี 2475 แต่ นายปิยบุตร ยังคงกล่าวหาสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และศาล อย่างเลื่อนลอย เพียงเพื่อปลุกระดมทางความคิดให้ตนเองและพวกพ้องได้ประโยชน์จากเรื่องนี้เท่านั้น ซึ่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการบัญญัติมาจาก “absolute monarchy” มีความหมายตรงตัวว่า ความเป็นกษัตริย์ซึ่งมีอาญาสิทธิ หรืออำนาจเด็ดขาดโดยสมบูรณ์ ซึ่งถ้าเวลานี้ประเทศไทยเป็นอย่างที่นายปิยบุตรว่าจริง นายปิยบุตร ครอบครัว และพวกพ้อง คงไม่มีชีวิต หรือแผ่นดินอยู่แล้ว เพราะการกระทำของนายปิยบุตร เลวร้า
จนประชาชนคนไทยเขาไม่ให้อภัยอีกต่อไป “คนอย่างนายปิยบุตร ไม่มีวันจะได้ดิบได้ดี มากไปกว่านี้ได้อีกต่อไป เพราะจิตใจมีแต่ตัณหา ให้ร้าย บิดเบือน มาโดยตลอด วันนี้ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่เขารู้ธาตุแท้ของนายปิยบุตร หมดแล้วว่าเป็นพวกอีแอบ อยู่ใต้กระโปรงเด็ก คอยใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการ บั่นทอนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทำลายธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทย เพียงเพราะอ้างประชาธิปไตย โดยที่ นายปิยบุตร กลับไม่เคยเคารพสิทธิของคนอื่นแม้แต่น้อย
ดังนั้น จำคำเสกสกลเอาไว้ว่า นายปิยบุตรไม่มีวันได้ตายดีอย่างแน่นอน และจะไม่ได้อยู่บนแผ่นดินไทย ในอนาคตข้างหน้า เพราะท้ายที่สุดก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไปอยู่ต่างประเทศ เหมือนหลายๆ คน ที่จ้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ สุดท้ายจบไม่สวยสักราย”
นอกจากนี้ THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น ธนาธรไม่กล้ามาศาล! ดร.อานนท์ เย้ยโจทก์ระวังกลายเป็นจำเลย เคยมีมาแล้ว
โดยระบุว่า จากที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ฟ้อง ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และเรียกค่าเสียหาย 24,062,475 ล้านบาทนั้น
เรื่องนี้ เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 64 ดร.อานนท์ อาจารย์ประจำหลักสูตรการวิเคราะห์ธุรกิจและวิทยาการข้อมูลคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ออกมาโพสต์ข้อความถึงนายธนาธร ว่า
วันจันทร์ 25 ตุลาคม นี้จะไปศาลนัดแรก ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ฟ้องว่าผมหมิ่นประมาท จากอดีตพฤติกรรมของนายธนาธร ที่ฟ้องคนโน้นคนนี้แล้วไม่มาศาลเลย ผมอยากรู้เหมือนกันว่า
ข้อแรก ธนาธร จะมาศาลอาญารัชดา ในวันที่ 25 ตุลาคมนี้หรือไม่, ข้อสอง การเรียกร้องค่าเสียหายจากการหมิ่นประมาท เป็นมูลค่า 24 06 2475 บาท จากผม มีหลักการทางวิชาการอย่างไรในการประเมินมูลค่าความเสียหาย ให้แจงให้ศาลท่านรับฟังด้วย
ข้อสาม อยากถามว่าคดีการให้สินบนเพื่อจะได้ที่ของน้องชายนายธนาธร คดีดำเนินไปถึงไหน, ข้อสี่ คดีบุกรุกป่าสงวน ทั้งๆ ที่เอกสารแนบโฉนด หลายแปลง ระบุชัดเจนว่าเป็นที่ป่าสงวน อาจจะถูกยึดคืนได้ ทำไมยังกล้าตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าจะแม่ พี่สาว หรือเจ้าตัว
ข้อห้า จะมีแนวทางพิสูจน์ได้อย่างไรว่าการกระทำของตนเองและครอบครัวในฐานะนักการเมืองอันเป็นบุคคลสาธารณะมีความสุจริต ในประเด็นที่ดิน
ข้อหก ที่ผมโพสต์ว่า ให้ปฏิรูปครอบครัวก่อนปฏิรูปสถาบันนั้น มีเหตุอันใดถึงเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบัน ให้แถลงให้ชัดให้ศาลท่านฟังด้วย
ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ดร.อานนท์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “อานนท์รอเก้อ ที่ศาลอาญารัชดา ไอ…ตี่เนรคุณสองแผ่นดินไม่มาศาล ฟ้องแก้เกี้ยว ฟ้องเท็จ ฟ้องกลั่นแกล้ง ฟ้องปิดปาก แต่ขอบอกว่าก…ไม่กลัวมึ….”
ล่าสุด วันนี้ (26 ต.ค. 64) ดร.อานนท์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าวโดยเป็นความคืบหน้าอีกครั้งว่า
“ผมนี่โดนฟ้องคดีหมิ่นประมาทมาสองครั้งในชีวิต ทั้งสองครั้งโจทก์ที่ฟ้องมาแทบจะกราบตี…ขอถอนฟ้อง หรือต้องการให้ศาลยกฟ้อง มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ครับ
คือการฟ้องคดีหมิ่นประมาทนี้ ถ้าคนที่ฟ้องเรามามีแผลมากมาย ผมถนัดมากในการหักพยานปรปักษ์ ซักค้านจนพยานฝ่ายโจทก์เหงื่อกาฬแตกพลักๆ หรือได้แต่ตอบว่า ไม่ขอตอบ ไม่ทราบ ไม่รู้ ไม่เห็น การที่ศาลบันทึกคำให้การไว้จะเป็นประโยชน์ในการที่จะให้เอาไปใช้ในคดีอื่นๆ ต่อไปได้ครับ นอกจากนี้จำเลยยังเรียกเอกสารการกระทำความผิดของโจทก์ที่มีแผลได้อีกมากมาย จากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับรูปคดี
ด้วยเหตุนี้ โจทก์อาจจะกลับกลายเป็นจำเลยได้ง่ายๆ หากจำเลยซักค้านโจทก์ หรือจำเลยสามารถหักพยานปรปักษ์ หรือโจทก์มาสารภาพแผลการกระทำความผิดของตนเองกลางศาลโดยความพลั้งเผลอ หรือจำเลยเรียกเอกสารมาก็เป็นการเปิดแผลโจทก์ได้ครับ
คนเป็นโจทก์ฟ้องจึงต้องระวังตัวมาก เพราะพลาดมาคือเจ็บหนัก แบ่งปันประสบการณ์ให้ได้เรียนรู้ร่วมกันครับ ขอให้ตั้งตรงบนสัจจะ ยึดมั่นในหลักการ ศาลทำงานในพระปรมาภิไธย #ไอ…ตี๋เนรคุณสองแผ่นดิน #หักพยานปรปักษ์ #หมิ่นประมาท #โจทก์กลายเป็นจำเลย”
แน่นอน, ประเด็นสำคัญ ก็คือ ข้ออ้างของ นายปิยบุตร ที่อ้างว่า “การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ศาล กองทัพ คือ หนทางสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ชอบหรือไม่ชอบ ผ่านมาถึงวันนี้ ก็ต้องยอมรับตรงกันแล้วว่า ประเด็นปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ศาล กองทัพ กลายเป็นประเด็นสาธารณะ เป็นประเด็นหลัก เป็นประเด็นหัวใจ ของสังคมไทย”
คำถามคือ การกล่าวอ้างว่า “การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ศาล กองทัพ” เป็นประเด็นสาธารณะไปแล้ว โดยจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ฟังดูแล้ว เหมือนเป็นการ ข่มขู่ คุกคาม ยัดเยียด ให้กับคนไทยโดยปริยาย
ที่ต้องไม่ลืมก็คือ คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ยังมีความเห็นขัดแย้งกับสิ่งที่ “ปิยบุตร” ยัดเยียดให้ ทั้งยังชัดเจนว่า คนไทยส่วนใหญ่ ยังคงจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แถมยังไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้อง สิ่งที่คนไทยเคารพเทิดทูนด้วย
นอกจากนี้ อาจถือได้ว่า เรื่องทั้งหมด เป็นสิ่งที่ นายปิยบุตร และสาวกทั้งหลาย สร้างประเด็นขึ้นมาเอง ตั้งแต่สมัยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกระทั่งออกมาเล่นการเมือง สิ่งที่เรียกร้องต้องการ และต่อสู้ ก็คือ “การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ศาล กองทัพ” โดยมีการปลุกปั่นยุยงสาวกและลูกศิษย์ รวมทั้งพันธมิตรที่เป็นเครือข่ายนักศึกษา นักวิชาการ จนได้คนที่มีความคิดเรื่องนี้เป็นกลุ่มก้อนขึ้นมา และตกตะกอนความคิดพร้อมผลักดันให้เป็นประเด็นสาธารณะ ทั้งผ่านการเมืองในสภา ที่มีพรรคของตัวเอง และผ่านการชุมนุมประท้วงกดดันลงท้องถนน และทั้งสองส่วนก็สอดประสานการทำงาน รวมทั้งหาแนวร่วมจากองค์กรประชาธิปไตยในต่างประเทศ ที่สำคัญ ยังมีการใช้สื่อโซเชียล เป็นอาวุธในการปลุกกระแส สร้างกระแสร่วมด้วย อย่างที่เห็นชัดเจนอยู่แล้ว
จนมาถึงวันนี้ นายปิยบุตร เรียกว่า เป็นประเด็นสาธารณะ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่เห็นด้วยก็แต่เฉพาะพวกตัวเอง และขบวนการ “สามนิ้ว” เท่านั้น ส่วน ประชาชนทั่วไปยังคงจงรักภักดีอยู่เช่นเคย และยังดูเหมือนจะมากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะเห็นถึงการจ้องโจมตี บิดเบือนให้ร้ายอย่างรุนแรง สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัด ก็คือ ผลการเลือกตั้งท้องถิ่น (อบจ. และเทศบาล) ที่คณะก้าวหน้า แพ้จนหมดรูป ทั้งที่มีกระแสม็อบช่วย
อย่างนี้ ก็เท่ากับว่า เป็นการ “ชงเอง” แล้วก็ “ตีกินเอง” ของนายปิยบุตร และพวกเท่านั้น ยังกล้ายัดเยียด ว่า เป็นประเด็นสาธารณะ และหัวใจสำคัญของคนไทย ทั้งที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย
ส่วนเรื่อง นายธนาธร ไม่มาศาลฯ ก็ตงไม่มีอะไรมากไปกว่า “ฟ้องแก้เกี้ยว?” อย่างที่ ดร.อานนท์ ว่า และอาจกลัว ถูกเรียกข้อมูลเอกสารหลักฐาน มาขยี้แผลซ้ำ กรณีตัวเอง และคนในครอบครัว ต้องคดีรุกป่าสงวนฯ? จึงอาจไม่คาดหวังอะไรมากมาย รวมทั้งค่าเสียหายที่เรียกเงิน อันเป็นสัญลักษณ์ “ปฏิวัติ 2475” ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า แค่ฉวยโอกาสเล่นการเมืองหรือไม
ส่วนประเด็นของ “อบจ.- เนติวิทย์” สุดท้ายก็ทำให้เห็นได้ชัดว่า พวกเขาเคลื่อนไหว ภายใต้เครือข่ายของ นักการเมืองบางกลุ่ม และ “ขบวนการสามนิ้ว” นั่นเอง