“ทักษิณ” เรียกร้องผสมพันธุ์ฝั่งปชต. ซื้อใจคนอีสาน เอาเศรษฐกิจก่อน โว “แก้ยากจน-กลับบ้าน” ได้แน่ “เฮียบุ๊ง สามนิ้ว” แฉ พท.ตัดสีน้ำเงินออก โยงส.ส.เคยปฏิเสธช่วยม็อบผิดม.112 เหตุรักสถาบัน วันนี้เงียบ เมื่อพรรคเลิกกราบ!?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(23 ต.ค.64) จากกรณีวานนี้ โทนี่ วู้ดซัม (Tony Woodsome) ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกมากล่าวในรายการ CARE Talk และ CARE Clubhouse ภาคพิเศษ “ปั้นข้าวเหนียว เคี่ยวความคิด พรุ่งนี้เพื่อชีวิตคนอีสาน”
โดยก่อนเปิดรายการ ได้มีการเปิดเพลงเอ็มวีซึ่งเป็นภาพเมื่อครั้ง โทนี่ (ทักษิณ) เป็นนายกรัฐมนตรี โดยโทนี่ได้ร้องเพลงประกอบเอ็มวีก่อนเปิดรายการตอนหนึ่งว่า “เลือกตั้งคราวนี้ขอให้เลือกพรรคเพื่อไทย ความหวังของผมฝากไว้ เลือกพรรคเพื่อไทย ส.ส.เพื่อไทย ผมได้กลับบ้านเรา”
เนื้อหาที่น่าสนใจ โทนี่ระบุตอนต้นว่า ตนเคยประกาศเมื่อศึกษาอาจสามารถโมเดล ตนรู้ปัญหาหมดแล้วถ้าใช้สักปีละแสนล้าน 4 ปีเอาอยู่แก้ปัญหาได้ทั้งประเทศ ก็คิดว่า 4 แสนล้านบาทเอาอยู่ ถ้าครบเทอมปี 2552 คนไทยหายจนแน่ ถ้าคนอยากหายจนได้หายจน ยกเว้นคนไม่อยากหายจน
โดยโทนี่ ระบุตอนหนึ่งถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจว่า “แจกเงินเหมือนปลามาให้ มื้อหน้าหิว ไม่รู้ตกปลาที่ไหนไม่มีเบ็ดไม่รู้วิธีตก ต้องให้ชาวบ้าน เงินที่กู้มาเยอะๆ เอามาแจกนั้น ระยะยาวต้องฟื้นฟูประเทศให้ชาวบ้านมีที่ทำมาหากิน ชาวบ้านเป็นนกตัดต้นไม้ทิ้งหมด นกจะไปหาที่เกาะกำบังได้ไง ต้องปลูกต้นไม้ใหม่ เหมือนประชาชนให้มีที่ทำกินพอเพียง วันนี้บอกให้ใช้เศรษฐกิจพอเพียงแต่ไม่พอกิน ดังนั้น ต้องช่วยแก้ปัญหาให้พอกินก่อนจะพอเพียง จะมาแจกเงินเพื่อซื้อเสียงไปวันๆ ไม่พอ”
“ถ้าไม่ชนะชาวบ้านจะจนเรื่อยๆ จะเป็นประเทศยากจนมากขึ้น จากประเทศที่จะพ้นความยากจน ที่บอกว่าคนอีสานจนเพราะโง่และขี้เกียจ คือไม่เข้าใจปัญหาความยากจน โดยปัญหาความยากจนต้องแก้ปัญหาโครงสร้างที่ดินทำกิน โครงสร้างการบริหารจัดการน้ำ โครงสร้างการศึกษา โครงสร้างเงินทุนที่จะใช้สร้างงานในต่างจังหวัด สิ่งเหล่านี้ต้องรับการแก้ไข” โทนี่ ระบุ
ถามว่าบัตรสองใบจะกลับมาใช้ในการเลือกตั้ง มีโอกาสจะได้ ส.ส. 377 เสียงแบบในอดีตหรือไม่ โทนี่ ระบุว่าอยู่ที่ประชาชน ฝั่งประชาธิปไตยต้องแข่งกัน ต้องสามัคคี ต้องผสมพันธุ์กัน เป็นไปไม่ได้จะผสมพันธุ์อีกฝั่งหนึ่ง
นอกจากนี้ โทนี่ ยังระบุว่า ถ้าหากอาศัยระบบการศึกษาปัจจุบันเป็นตำราที่เชยแหลกอยู่ๆ ก็เขียนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยึดอำนาจ อย่างนี้เป็นตลกหลวง ตำราพวกนี้ทิ้งได้แล้ว ควรเป็นตำราให้คนใฝ่รู้ใหม่ๆ ได้ ต้องเปลี่ยนหลักสูตรพอสมควร
“เอาทุนกลับบ้านนอกดีกว่า เอากองทุนหมู่บ้านเป็นครั้งแรกให้คนกู้มาไปเร่งขยายโอทอป ขายของเล็กน้อย ทำให้เศรษฐกิจดี ทำให้คนงานกรุงเทพฯเริ่มกลับมา เมื่อมีทุนมีการจ้างงานเกิดขึ้นทำให้คนกลับมา คนงานยามพรรคไทยรักไทยยังกลับบ้านเพราะจะกลับมาทำโอทอป ดังนั้นต้องกระจายทุนออกต่างจังหวัด” โทนี่ ระบุ
อย่างไรก็ตามในช่วงท้าย โทนี่ ระบุอีกว่า ถ้าเป็นประชาธิปไตยได้ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นรัฐธรรมนูญแก้ยากมาก ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยชนะขาดเมื่อไร โอกาสแก้ก็มี ถ้าชนะนิดหน่อยแก้ไม่ง่าย ต้องแก้เศรษฐกิจก่อนค่อยแก้ประชาธิปไตย กองทัพเดินด้วยท้อง ท้องหิวเดินไม่ไหว ต้องรีบให้ฝ่ายประชาธิปไตยมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจแล้วแก้ประชาธิปไตย เราอยากทำพร้อมกันแต่ทำไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้เอาเศรษฐกิจก่อน
“ถ้าได้กลับไปจะฟื้นคนอีสาน การกลับไปไม่นานเกินรอแน่นอน ถ้าหากมีความคิดของตนช่วยให้ผู้นำประเทศไปใช้จะเป็นประโยชน์ วันนี้เห็นความสำเร็จและล้มเหลวหลายประเทศ ตนเป็นห่วงประเทศไทย และเป็นห่วงคนไทย หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นหลังการเลือกตั้งแล้ว” โทนี่ ระบุ
ขณะเดียวกัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น “เฮียบุ๊ง” แฉ พท.ตัดสีน้ำเงินออก โยงส.ส.เคยปฏิเสธช่วยม็อบผิดม.112 เหตุรักสถาบัน
โดยระบุว่า จากที่เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 แฟนเพจเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ เปลี่ยนโลโกพรรคเป็นสีแดงมีตัวหนังสือเป็นสีขาว ซึ่งต่างจากโลโกเดิมที่เป็นสีน้ำเงิน และมีลายธงชาติอยู่ที่ตัว พ.พาน และ ท.ทหารนั้น
ทั้งยังระบุด้วยว่า เพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน ขณะที่น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด และโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้เปิดเผยว่า ที่เปลี่ยนเป็นสีแดง เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง รวมถึงตอกย้ำว่าพรรคเพื่อไทยมีสีเดียวไม่มีสีอื่นเจือปน โดยสีแดงเข้ม เป็นการแสดงออกเพื่อให้ทุกคนมีพลังและกระตือรือร้นกับความเป็นประชาธิปไตย รวมถึงเพื่อสร้างพลังให้กับทุกคนในการเตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น
ด้าน “ผักกาดหอม” คอลัมนิสต์เว็บไซต์ไทยโพสต์ เขียนบทความผ่านหัวข้อ อ่านเอาเรื่องโดยผักกาดหอม ซึ่งมีการกล่าวถึงเรื่องการตัดสีน้ำเงินของพรรคเพื่อไทย ออก บางช่วงระบุว่า
“แต่…วันนี้พรรคเพื่อไทยน่าสนใจกว่า พรรคเพื่อไทยเปลี่ยนโลโก้ จากเดิมใช้สี น้ำเงิน แดง ขาว ล้อกับธงชาติไทย เหลือพื้นแดงฉาน กับอักษรสีขาว
ตัดสีน้ำเงินออกไป ตีความกันเยอะครับ แต่ก็ไปว่าใครไม่ได้ เพราะเมื่อครั้งก่อตั้งพรรคไทยรักไทย มีการอธิบายว่า ใช้อักษร “ท.ทักษิณ” และแถบสีของธงชาติไทย เพื่อความเป็นสิริมงคล โลโก้พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย ก็ล้อมาจากไทยรักไทย
ล่าสุดวันนี้ นายปกรณ์ พรชีวางกูร หรือ เฮียบุ๊ง นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและผู้สนับสนุนกลุ่มสามนิ้ว ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว โดยพาดพิงไปถึงนักการเมืองในพรรคเพื่อไทยบางคนด้วยว่า
“เห็นโลโก้ขาวแดงอันใหม่ของเพื่อไทย หน้าคุณพรี่มาเฟียออนไลน์ทั่นนึงลอยมาทันที เมื่อปลายปีที่แล้ว มีเด็กม็อบคนนึงโดน112 แล้วโดน ตำรวจบุกจับตอนจะเที่ยงคืน เราก็รีบติดต่อ สส.ในพื้นที่ของเด็กคนนั้น เพื่อจะขอให้รีบเข้าไปช่วยดูแลเด็กก่อนในเบื้องต้น
คำตอบที่ได้มาคือ… ไม่ยุ่ง ดูแลกันเอง ผมรักและเทิดทูน แล้วก็มีอีก 2-3 ประโยคแต่เอามาพูดตรงนี้ไม่ได้ ( หลังจากนั้นไม่นาน พรี่เค้าออกมาประกาศจุดยืนผ่าน FB ด้วย แล้วโดนทัวร์ลง แล้วพรี่แกก็ลบตัสทิ้ง )
กุก็เอาเรื่องนี้ไปพูดกับนักการเมืองรุ่นใหญ่คนนึง ว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น คำตอบคือ… รออีกสักพักนะครับ พรรคจะมีการปรับอะไรบางอย่าง แล้วเราก็คุยกันอีกหลายเรื่อง
มาวันนี้เพื่อไทยเปลี่ยนโลโก้พรรคซึ่งมีนัยยะแฝง กุนี่รอพรี่มาเฟียออนไลน์ทั่นนั้นมาหลายวันล่ะ ว่าจะแสดงจุดยืนอะไรมั้ย
แต่ก็ไม่เห็นจะพูดอะไร ก็เงียบ
อยากเข้าไปถามจริงๆว่า คิดยังไงกับโลโก้ใหม่ของพรรค คิดยังไงกับนัยยะแฝง พรรคไปไหนทิศทางนี้คุณพรี่จะเอาไงต่อ ?
แต่คือโดนแม่…บล็อคไง”
ต่อมาเมื่อข้อความของ บุ๊ง ปกรณ์ เผยแพร่ออกไปก็ปรากฏว่ามีคนเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างมากมาย และบางข้อความก็สื่อไปถึงนักการเมือง คนดังกล่าวว่าเป็นใครด้วย อาทิ
ใช่ ไอ้ตัวที่อยู่ใกล้บางแคมั้ย อีเสี่ย, คิดเหมือนกันเลยค่ะ, นักลบบางบอน, นักแท็กในตำนาน เถียงไม่ได้แท็กเรียกพวกมาช่วย555, ปกรณ์ พรชีวางกูร แท๊กเสร็จ แม่…บล็อกอีก, นักลบ ใจถึงพึ่งพ่อ, ดาวเฟสบุ๊ต แต่หมดมุกในสภา
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ก่อนหน้านี้ (21ก.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “บุ้ง ปกรณ์” แฉยับ เด็กที่อยู่เบื้องหลังม็อบ คือเด็กปั้นในโครงการ ของ “พรรคเพื่อไทย”
โดยระบุว่า หลังจาก นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ ออกมาเป็นเผย ว่า พรรคเพื่อไทย ได้มีการสนับสนุนเงินทุนกลุ่มผู้ชุมนุมสามนิ้ว ทำให้เกิดกระแสจี้ตรวจสอบยุบพรรคในเวลาต่อมา ก่อนที่แอมมี่จะลบเนื้อหาบางช่วงบางตอนที่พูดถึงเรื่องนี้ออก คือ
“สำหรับผม การเรียกร้องครั้งนี้มันมีค่า มากกว่า ผลประโยชน์นานาประการ โควตา ส.ส. ที่ใช้ในการประกันตัว ต้องยกให้ก้าวไกล แต่ก้าวไกล ก็ขี้เหนียว กลับกันเป็นเพื่อไทยที่สู้ไปกราบไป ที่คอยสนับสนุนเงินทุนบ้าง”
ทั้งนี้ ในวันที่ 19 ก.ย. 64 นายปกรณ์ พรชีวางกูร หรือ เฮียบุ้ง หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยง ที่คอยสนับสนุนม็อบในช่วงแรก ร่วมกับ ทราย-อินทิรา เจริญปุระ แต่ในช่วงหลัง ได้เว้นระยะห่างการชุมนุม ไม่เข้าร่วมเหมือนในช่วงแรกๆ เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับการทุจริตเงินบริจาคของกลุ่มผู้ชุมนุม ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหว เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย โดยเปิดเผยว่า เด็กปั้นพรรคเพื่อไทย อยู่เบื้องหลังม็อบทั้งนั้น
“เพื่อไทยไม่ควรทำการเมืองกล้าๆ กลัวๆ ไม่ต้องกลัวว่า มาแตะม็อบแล้วจะโดนยุบอะไรหรอก ถ้าโดนยุบเพราะต่อสู้ ยังไงพวกเราก็เลือกแน่ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
เคยสนับสนุนอะไรในการต่อสู้มาเยอะเยอะ แต่ไม่เคยประกาศออกสื่ออะไรใดๆ ทุกๆ ครั้ง เลือกที่จะวางเอาไว้เงียบๆ แล้วเดินออกไป
แต่มันไม่ใช่ ถ้าคุณจะเอาเสียงคนรุ่นใหม่ ซึ่งมันมีหลายล้าน แล้วเสียงกลุ่มนี้ทั้งหมดอยู่ในม็อบ คุณก็ต้องปล่อยหมัดโปรโมตตัวเองบ้าง
เด็กที่อยู่เบื้องหลังม็อบหลายๆ คน ก็เด็กในโครงการ The Change Maker ทั้งนั้น
คุณแม่งปล่อยพรรคอื่นขย่มแบบนี้มาเป็นปีๆ
กุแม่งไม่อยากจะพูดหรอกนะ แต่คือมันทนไม่ไหวไง เพราะกุเป็นคนที่เห็นและทุกอย่างมันผ่านมือกุ
คนที่ช่วยมากที่สุด เสือกเป็นคนที่ถูกด่าว่าไม่ทำห่าอะไรเลยมากที่สุด
แบบนี้มันไม่ถูก…
จะปล่อยให้เป็นเรื่องคนรู้ก็รู้คนไม่รู้ก็ไม่รู้ มันไม่ได้
ทุกวันนี้เราสู้กันด้วยสื่อ คุณต้องสื่อโว้ยยยย”....
แน่นอน, ประเด็นที่น่าวิเคราะห์อย่างยิ่งก็คือ หมากกมการเมือง “ทักษิณ” ที่วันนี้เผยไต๋ค่อนข้างชัดเจน ทั้งการหาเสียงเลือกตั้ง และการคาดหวังจัดตั้งรัฐบาล
ประเด็นแรก ในการหาเสียงเลือกตั้ง “ทักษิณ” คาดหวังอย่างสูงกับสนามเลือกตั้งภาคอีสาน เนื่องจากสนามนี้ยังมีคนรักทักษิณอยู่จำนวนมาก และคนเสื้อแดง ที่ไม่เกี่ยวกับหมู่บ้านเสื้อแดง ก็ยังคงคิดถึง “ทักษิณ” ต้องการให้กลับมาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งเข้าทางพอดี และ “ทักษิณ” รวมทั้งทีมยุทธศาสตร์ ส.ส.พรรค ต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แม้ว่า จะมีกระแส “ลุงตู่” แจกเงินกลืนความเข้มข้นของเสื้อแดงไปบ้างก็ตาม
อีกอย่าง ภาคอีสาน ด้วยจำนวนส.ส.ที่มากกว่าภาคอื่น และเป็นที่รู้กันว่า ภาคอีสานเป็นตัวตัดสินพรรคไหนจะเป็นรัฐบาลได้หรือไม่ได้ “ทักษิณ” จึงค่อนข้างเน้นหาเสียงกับคนอีสาน และหัวข้อที่ว่า “ปั้นข้าวเหนียว เคี่ยวความคิด พรุ่งนี้เพื่อชีวิตคนอีสาน” ก็ชัดเจน
รวมถึง ประโยคที่ว่า “ถ้าได้กลับไปจะฟื้นคนอีสาน การกลับไปไม่นานเกินรอแน่นอน...”
ประเด็นต่อมา ถือว่า เป็นการส่งสัญญาณถึงฝ่ายประชาธิปไตย หรือ พรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ที่มีคณะก้าวหน้า ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็น “ลูกพี่ใหญ่” ให้เห็นถึง “กลยุทธ์” ร่วมกัน กล่าวคือ
หนึ่ง – เรียกร้อง ให้ต่อสู้เพื่อเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ก่อน แม้ว่า ต้องการต่อสู้ ทั้งเพื่อประชาธิปไตย และเศรษฐกิจพร้อมกันก็ตาม ข้อนี้ไม่รู้ว่า ตกลงกันได้หรือยัง กับพรรคก้าวไกล ที่หัวเด็ดตีนขาด ก็จะต้อง ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับให้ได้ ก่อน
สอง – เรียกร้อง การจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลของพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมด จะยังคงจับมือกันอย่างเหนียวแน่น และจะทำให้คะแนนเสียงสามารถต่อสู้กับพรรคร่วมรัฐบาลได้ แม้ว่าพรรคเพื่อไทย จะไม่ได้ส.ส.แบบถล่มทลาย
ประการที่สาม ดูเหมือน “ทักษิณ” จะแทงกั๊ก อีกแล้ว เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง นั่นคือ การเปลี่ยนโลโกพรรค ที่เอียงไปทางพรรคก้าวไกล และ “ม็อบสามนิ้ว” โดยหวังว่า จะสามารถซื้อใจคนรุ่นใหม่ ซื้อใจพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า เผื่อว่า เกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน แล้วกระแสม็อบมา ก็จะได้ “โหนต่องแต่ง” เอาไว้ได้ แต่ถ้าม็อบพลาดพลั้งก็ปล่อยมันไป ตามเกมทางการเมือง ไม่ได้เสียหายอะไร
ที่สำคัญ ถือว่า ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะลึกๆแล้ว “ทักษิณ” เชื่อว่า การจะได้กลับบ้าน อย่างแท้จริง มีทางเดียว คือ “นิรโทษกรรมสุดซอย” เท่านั้น และกลุ่มคนที่จะช่วยให้มีพลังกดดันถึงขั้นนั้นได้ ก็คือ ม็อบสามนิ้ว และพรรคก้าวไกล ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้าน(ในอนาคตอาจเป็นพรรคร่วมรัฐบาล) เอาด้วย ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
ทั้งหมด เป็นการวิเคราะห์จากฝ่าย “ทักษิณ” ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ และไม่ได้หมายความว่า ถ้าเป็นไปตามเกม “ทักษิณ” จะถูกปูเอาไว้ด้วยกลีบกุหลาบ โดยเฉพาะเรื่อง “นิรโทษกรรมสุดซอย” ให้กลับบ้านแบบเท่ๆ เพราะประชาชนอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมเช่นกัน
เพียงแต่ทำให้เห็นว่า นี่คือ “ทักษิณ” ไม่ว่าจะใช้ชื่อ “โทนี่” หรืออะไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนก็คือ ความเหลี่ยมจัดในเกมการเมือง การตลาด “หาเสียง” ปั่นกระแสความนิยม และการซื้อใจชาวบ้านและพันธมิตรทางการเมือง ที่ต่อรองเพื่อผลประโยชน์ตัวเองได้ทุกอย่าง ทุกเรื่อง แม้แต่คำว่า “สู้ไปกราบไป” ก็อาจเป็นคำที่ใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วก็ได้!?