ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เสียงแตกเมื่อ ททท.เล่นใหญ่ ทุ่มจ้าง “ลิซ่า-แอนเดรีย” 200 ล้าน โปรโมตเคานต์ดาวน์
นับถอยหลังเปิดประเทศ อีเวนต์ใหญ่ก็ต้องมา เมื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) “เล่นใหญ่” รับนโยบายของ “ลุงตู่” โดยผุดไอเดียจะทุ่มทุนสร้างอลังการดาวล้านดวงให้ฮือฮากันไปทั่วโลก ลงทุนอิมพอร์ต “น้องลิซ่า” ลลิษา มโนบาล ศิลปินสาวแห่งวง BLACKPINK ของเกาหลี และ “แอนเดรีย โบเซลลี” นักร้องโอเปร่าระดับโลก ชาวอิตาลี มาร่วมอีเวนต์งานเคานต์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2565 โปรโมตท่องเที่ยวไทย ด้วยงบประมาณกว่า 200 ล้านบาท
เรื่องนี้จึงกลายเป็นกระแสมีดรามาขึ้นมาทันที
ต้องบอกว่า ไอเดียกระฉูดแบบนี้ ก็มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝ่ายที่เห็นด้วย เพราะเชื่อมั่นว่า ระดับความดังของ “น้องลิซ่า” ที่เพิ่งสร้างสถิติยอดวิวดูมิวสิกเพลงใหม่ของเธอกันถล่มทลาย ภาพลักษณ์ของลิซ่าที่มีความเป็นไทยอยู่เต็มเปี่ยมนั้น สามารถคาดหวังได้ว่า เธอจะช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวไทยให้คนทั่วโลกได้เข้าถึง และ เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลพลอยได้ ได้อย่างแน่นอน
เห็นได้จากแค่ “น้องลิซ่า” เอ่ยปากพูดถึง ลูกชิ้นยืนกิน ของโปรดที่บ้านเกิดบุรีรัมย์ ยังทำยอดขายลูกชิ้นปังปุริเย่ มาถึงทุกวันนี้ เศรษฐกิจท้องถิ่นคึกคักขึ้นมาทันตา
เสียงสนับสนุนชูมือเชียร์ให้จ้าง “น้องลิซ่า” มาเคานต์ดาวน์ จึงเชื่อสุดหัวใจว่า เงิน 200 ล้าน งานนี้จิ๊บๆ เมื่อคิดว่าจะได้มามากกว่านี้เป็นหลายร้อยล้าน หรือ พันล้านจากเงินท่องเที่ยวที่จะสะพัดตามลิซ่ามา
ส่วนสายที่ไม่เห็นด้วย ก็บอกว่า เอาเงินค่าจ้างศิลปินดัง 200 ล้าน ไปแก้ปัญหาเร่งด่วนอย่างอื่นก่อนดีกว่าหรือไม่ ไหนจะโควิดที่ยังแพร่ระบาดน่าเป็นห่วง ไหนจะวัคซีนที่ยังฉีดกันไม่ครบ ไหนจะภัยธรรมชาติน้ำท่วม ที่เดือดร้อนกันเป็นวงกว้าง เรียกว่า ปัญหาภายในประเทศ ยังหนักหนาสาหัส แม้รัฐบาลจะมีนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่หากคนในประเทศยังไม่ได้มีหลักประกันในด้านสุขภาพ สาธารณสุข หรือ รับวัคซีนจนกว่าจะพร้อมจริงๆ เรื่องไอเดียจัดงานใช้เงินงบประมาณสูงค่อยคิดจะจัดก็ยังไม่สาย น่าจะจัดก็ต่อเมื่อประชาชนพร้อมเสียก่อน
ว่าไปแล้ว อีเวนต์นี้ดูจะไปไกลมากพอๆ กับดรามา หลังจาก “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมล่าสุด ว่า มีการติดต่อและประสานงานกับทางเอเยนซี่ของ “น้องลิซ่า” เรียบร้อยแล้ว โดยวางแผนไว้ว่า ลิซ่าน่าจะมาเคานต์ดาวน์ที่ภูเก็ต ขณะที่ “แอนเดรีย โบเซลลี” ก็น่าจะมาลงที่กรุงเทพฯ จะขอจัดที่สนามหลวง มีฉากหลังเป็นวัดพระแก้ว เพื่อความอลังการงานสร้าง
ค่าตัวทั้ง 2 ศิลปิน รมว.ท่องเที่ยวฯ ยืนยันจัดไว้ที่ 200 ล้านโดยประมาณ โดยต่อรองให้เป็นแพกเกจ คือ แทนที่จะจ้างมาทีละคน ก็ขอจ้างมา 2 คนเลย อาจจะมีส่วนลด หรืออะไรประมาณนั้น
ว่ากันว่า บริษัทออแกไนเซอร์ในประเทศไทย เป็นผู้ติดต่อ “ลิซ่า และ แอนเดรีย” โดยที่ ททท.ไม่ได้ติดต่อเอง ซึ่งตอนนี้ยังไม่เปิดเผยชื่อของบริษัทที่รับผิดชอบในงานนี้
ขณะเดียวกัน ด้านต้นสังกัดของลิซ่า อย่าง YG Entertainment ยังไม่ได้มีการแถลงรายละเอียด หรือให้ข้อสรุปใดเกี่ยวกับอีเวนต์นี้
สรุปว่า ณ ตอนนี้ อีเวนต์ใหญ่นี้มีความคิดแตกเป็นสองฝั่งสองฝ่ายว่าเงิน 200 ล้านบาท จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ หรือ บริษัทออแกไนซ์ จะดีลได้สำเร็จจริงหรือไม่
งานเคานต์ดาวน์ที่ ททท. ตั้งใจจัดให้เป็นอีเวนต์ระดับโลก สุดท้ายจะได้ลิซ่ามาหรือไม่ หรือจะเปลี่ยนแผนไปเป็นอย่างอื่น … เรื่องนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไป.
**เมื่อ “ลุงตู่-ลุงป้อม” ยังมึนตึง “พีระพันธุ์” ก็เลยน่วม!
แต่ไหนแต่ไรมา “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ไม่เคยเจอปัญหาเรื่องมีม็อบ หรือมีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมาต่อต้าน ชูป้ายขับไล่... ต่างจาก “ลุงตู่” ที่โดนเป็นประจำ เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง อย่างไปดูแลเรื่องน้ำท่วม ก็โดนทั้งที่ ชัยภูมิ และ นนทบุรี
แต่คราวนี้ที่ “ลุงป้อม” ไปขอนแก่น เพื่อตรวจสถานการณ์น้ำ ทั้งน้ำท่วม และเตรียมรับมือน้ำแล้ง รวมทั้งช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วม กลับถูก “สามกีบ” ในนามคณะราษฎรขอนแก่น เครือข่าย “ไผ่ ดาวดิน” ออกมาขับไล่ จนเกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัย บาดเจ็บกันไปเล็กน้อย พอให้เห็นเป็นสัญลักษณ์
เอาเป็นว่า ต่อไปนี้ เวลา “ลุงตู่-ลุงป้อม” ลงพื้นที่ ก็จะมีกลุ่มที่มาต่อต้าน โห่ไล่ ไม่ให้ทำอะไรๆ ได้อย่างราบรื่น ...อย่างวันนี้ (15 ต.ค.) “ลุงตู่” จะลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อไปติดตามเรื่องโคก หนอง นา และดูงานผลิตกระแสไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ ยังต้องส่ง “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ลงไปเคลี่ยร์พื้นที่ล่วงหน้าก่อน
เพราะฝ่ายตรงข้ามมองว่า เมื่อ “3 ป.” เริ่มกลับมาปรองดองเพื่อเดินหน้าอยู่ยาว และขณะนี้กำลังลงพื้นที่ทำแต้ม ก็จำเป็นที่จะต้องออกมาขัดขวาง ไม่ให้ทำอะไรได้สะดวกนัก หรืออย่างน้อยก็เป็นการออกมาเคลื่อนไหวเพื่อรักษาแนวร่วมเอาไว้บ้าง
ขณะที่คนนอกมองว่า “3 ป.” กลับมากลมเกลียวกันอีกครั้ง แต่คนใน หรือคนที่ติดตามการเมืองใกล้ชิดกลับมองว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้น ...จริงอยู่ ในความเป็นพี่น้องนั้นตัดกันไม่ขาด ตายเมื่อไรถึงจะเลิกรักกัน … แต่ในทางการเมืองแล้วยังเห็น ร่องรอยของความมึนตึงกันอยู่ อย่างการลงพื้นที่พบปะประชาชน จนบัดนี้ “ลุงตู่” กับ “ลุงป้อม” ก็ไม่เคยไปด้วยกัน
… ก็จะไปด้วยกันได้อย่างไร ในเมื่อคนรอบข้างยังตั้งแง่ แบบว่าที่ไหนมี “ลุงป้อม” ก็ต้องมี “ผู้กอง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ “อาจารย์แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ติดตามเป็นเงา ...เช่นเดียวกัน ที่ไหนมี “ลุงตู่” ก็ต้องมี “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน มี “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.ดิจิทัลฯ และ “อธิรัฐ รัตนเศรษฐ” รมช.คมนาคม เป็นวอลเปเปอร์
เรื่อง “4 กรม” ในกระทรวงเกษตรฯ ก็จบไม่สวย เพราะแว่วว่าช่วงที่ “ลุงตู่” ยึดเอามาให้ “ลุงป้อม” ดูแลนั้น ได้กำชับว่า อย่าให้ “คนนั้น” เข้ามายุ่ง ซึ่งคำว่า “คนนั้น” เป็นที่รู้กันว่าคือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลมาก่อน ...แต่เพียงอาทิตย์เดียว “ลุงตู่” กลับหลังหัน 180 องศา เอา 4 กรมกลับไปคืนที่เก่าเหมือนเดิม ...แล้วอย่างนี้คิดหรือว่า “ลุงป้อม” และคนรอบข้างจะรู้สึกเฉยๆ
คราวนี้เมื่อ “ลุงตู่” ส่ง “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ให้ไปเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และเป็นที่ปรึกษา “ลุงป้อม” ก็เลยโดน ส.ส.ในพรรค ต่อต้านอย่างรุนแรง ชนิดไม่ไว้หน้าคนที่ส่งไป … “พีระพันธุ์” ที่เหมือนเป็นคนกลางก็เลยน่วม!!
เมื่อนักข่าวถามถึงเรื่องนี้ “ลุงตู่” ได้แต่ส่ายหน้า พูดไม่ออก !!