สุดทน! “ดร.นิว”
เดือดใส่ “ปิยบุตร” จัดให้ “กบฏหน้าตัวเมี…” ใช้วิชาการบังหน้า ใส่ร้ายพระมหากษัตริย์
เล่นแรงเหมือนจะไม่ยอมกลับไทย ถึงคิว “เซเลบสามนิ้ว” เจอหมายเรียก ม.112-พ.ร.บ.คอมพ์
รีบขอรับบริจาคทันที
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (18 ก.ย. 64)
เพจเฟซบุ๊กTHE TRUTH
โพสต์ประเด็น ดร.นิวเดือด ใส่ “ปิยบุตร” กบฏหน้าตัวเมี…ใส่ร้ายพระมหากษัตริย์!
จับตากลับไทยโดนคดี
โดยระบุว่า ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว”
นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา
ได้โพสต์ข้อความถึง ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ซึ่งมีคนเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น
และแชร์เป็นจำนวน
เนื้อหาโพสต์ ดร.นิว ระบุว่า
“ไอ…ปิยบุตรกบฏหน้าตัวเมี…
พระมหากษัตริย์ไทย ไม่ได้ทรงแทรกแซงการแต่งตั้งใดๆ
แต่ปิยบุตรกลับเขียนใส่ความ ชักจูงชวนให้จินตนาการไปในทางที่เกิดความเข้าใจผิดๆ
ราวกับว่า ข้อสงสัยต่างๆ ที่ปิยบุตรเขียนขึ้นเพื่อใส่ความนั้น
ได้เกิดขึ้นจริงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งเป็นวิธีการสกปรกของปิยบุตรในการเขียนใส่ความสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด
ทำไมปิยบุตรถึงไม่กล้าพูดถึงบทบาทและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์แห่งประเทศนอร์เวย์
ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยอันดับ 1 ของโลก ซึ่งปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบ Constitutional Monarchy เช่นเดียวกัน
ม.21 ในรัฐธรรมนูญของนอร์เวย์ที่ได้ชื่อว่า เป็นประเทศประชาธิปไตยอันดับ 1 ของโลก พระมหากษัตริย์ของเขาก็ทรงลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งข้าราชการอาวุโสทั้งในฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนไม่ต่างกัน
ดังนั้น การใส่ความว่าพระมหากษัตริย์ทรงแทรกแซงการแต่งตั้งต่างๆ ผ่านการลงพระปรมาภิไธย
จนกลายเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง จึงเป็นเรื่องที่ปัญญาอ่อน
เพราะในความเป็นจริง สถาบันพระมหากษัตริย์
ต่างหากที่ถูกทำให้กลายเป็น “เจว็ด” ที่ไร้ซึ่งบทบาทและพระราชอำนาจอันพึงมีขององค์พระประมุขในการถ่วงดุลอำนาจการปกครองและปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน
นับตั้งแต่คณะราษฎรเรื่อยมาจนเกือบ 90 ปี
ประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการลัทธิรัฐธรรมนูญ
อำนาจอธิปไตยไม่เคยเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง
หากแต่อำนาจอธิปไตย ยังคงอยู่กับคณะปกครองไม่ต่างจากคณะราษฎรในอดีต
เปิดโอกาสให้บรรดานักธุรกิจการเมืองเข้ามาแทรกแซงผลประโยชน์ของรัฐ
คอรัปชั่นเชิงนโยบายเอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจ
แปรรูปรัฐวิสาหกิจแล้วถือครองผ่านนอมินี ผูกขาดสัมปทานไปเป็นสมบัติส่วนตัว ฯลฯ
แต่ไอ…กบฏหน้าตัวเมี…อย่างปิยบุตร กลับไม่เคยชี้ให้เห็นถึงต้นตอที่แท้จริงของปัญหาระบอบเผด็จการที่มาจากบรรดานักธุรกิจการเมือง
แล้วกลับโยน…ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการบิดเบือนมาโดยตลอด
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปิยบุตรไม่ได้ต้องการแก้ไขปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศไทย
หากแต่ต้องการบิดเบือนให้ร้ายสร้างความเข้าใจที่ผิดๆ
เพื่อให้เกิดความเกลียดชังและความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แค่เพียงเท่านั้น”
ทั้งนี้ ก่อนหน้าไม่นาน เฟซบุ๊กPiyabutr Saengkanokkul -ปิยบุตร
แสงกนกกุลประเด็น[กษัตริย์กับนายกรัฐมนตรี
ใครมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งกันแน่? ]
เนื้อหาบางตอนระบุว่า ในเดือนสิงหาคม
เดือนกันยายนของทุกปี เป็นช่วงการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ ในปีนี้
เราพบเห็นข่าวว่า มีบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งสำคัญๆแบบเซอร์ไพรส์
ข้าราชการหลายคนอายุไม่มาก แต่ก็ได้รับการแต่งตั้งขึ้นตำแหน่งสูงๆ
ข้ามหัวอาวุโสไปหลายคน
การแต่งตั้งบุคคลไปดำรงตำแหน่งในองค์กรของรัฐต่างๆ
เป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร
แต่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่ยังคงรักษาให้กษัตริย์เป็นประมุขของรัฐนั้น
การใช้อำนาจแต่งตั้งเหล่านี้ก็อาจเกิด “แดนสีเทา” ว่า สุดท้ายแล้ว อำนาจนี้เป็นของใครกันแน่?ระหว่างนายกรัฐมนตรี
ผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร กับ กษัตริย์ ผู้เป็นประมุขของรัฐ?
นายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้ง
แต่การแต่งตั้งไม่สมบูรณ์หากปราศจากการลงพระปรมาภิไธยของกษัตริย์ เช่นนี้แล้ว
จะทำอย่างไร?
นายกรัฐมนตรีอาจต้องการแต่งตั้งบุคคลหนึ่ง แต่กษัตริย์ไม่โปรดปราน
ไม่ประสงค์ลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งให้ จะทำอย่างไร?
กษัตริย์โปรดปรานบุคคลหนึ่ง ส่ง “โผ”
มาให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง นายกรัฐมนตรีจะปฏิเสธไม่แต่งตั้งได้หรือไม่ อย่างไร?
ปัญหานี้ คือ ปัญหาเริ่มต้นของระบอบ Constitutional/Parliamentary Monarchy เป็นปัญหาพื้นฐานเริ่มแรกของบรรดาประเทศที่ต้องการเป็นประชาธิปไตยและยังคงให้มีกษัตริย์เป็นประมุขต่อไป
กรณีของประเทศไทย แบ่งแยกพิจารณาเป็น 2 กรณี ได้แก่
กรณีแรก การแต่งตั้งบุคคลไปดำรงตำแหน่งในองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตย หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่ การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ตุลาการศาลปกครอง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
กรณีที่สอง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน ข้าราชการทหาร ในระดับปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า
ในกรณีของประเทศไทย นับตั้งแต่อภิวัฒน์สยาม2475 จนถึงก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ2492 กษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ประธานและรองประธานสภาเท่านั้น โดยกรณีแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มีประธานสภาเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ และการแต่งตั้งรัฐมนตรีอื่น มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
รัฐประหาร 2490 ปิดฉากคณะราษฎร ฟื้นฟูแนวคิดกษัตริย์นิยม รัฐธรรมนูญ 2492 ซึ่งเป็นผลพวงของรัฐประหารครั้งนั้น ได้เพิ่มพระราชอำนาจหลายประการอย่างมีนัยสำคัญ กรณีสำคัญกรณีหนึ่ง ก็คือ การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง ในมาตรา158 ให้กษัตริย์มีอำนาจ “แต่งตั้งและถอดถอนข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า” และในมาตรา166 ให้กษัตริย์มีอำนาจ “แต่งตั้ง ย้าย และถอดถอนผู้พิพากษา” โดยมีรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
รัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มา ก็เขียนในทำนองเดียวกัน และเริ่มขยายไปถึงตำแหน่งต่างๆมากขึ้น มีกฎหมายหลายฉบับกำหนดตำแหน่งที่ต้องให้กษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งเพิ่มมากขึ้น จนรวมไปถึงตำแหน่งทางวิชาการแบบศาสตราจารย์
รัฐธรรมนูญ 2540 สร้างองค์กรอิสระขึ้นมาจำนวนมาก ได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ผู้ตรวจการแผ่นดิน และบุคคลที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระเหล่านี้ ต้องถูกแต่งตั้งโดยกษัตริย์ตามคำแนะนำของวุฒิสภา โดยมีประธานวุฒิสภาเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
รัฐธรรมนูญ 2550 และ 2560 ก็ดำเนินรอยตามรัฐธรรมนูญ 2540 ในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน
เป็นอันว่า ปัจจุบันนี้ เรามีตำแหน่งที่กษัตริย์เป็นผู้ลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งจำนวนมาก ตั้งแต่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา รองประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ตุลาการศาลปกครอง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลทหาร ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ข้าราชการพลเรือนและทหารในตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า จากเดิมที่มีเพียงตำแหน่งประธานสภา รองประธานสภา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเท่านั้น
เท่ากับว่า ในบรรดาองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งหลายในประเทศนี้ คงเหลือเพียงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้นที่ไม่ต้องมีพระปรมาภิไธยแต่งตั้งและไม่ต้องปฏิญาณตนต่อกษัตริย์ก่อนเข้ารับตำแหน่ง เพราะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ “ผู้แทน” ของราษฎร มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีประชาชนเป็นคนแต่งตั้งนั่นเอง...(อ่านรายละเอียดจากเฟซบุ๊ก ปิยบุตร)
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น “เซเลบสามนิ้ว” เจอหมายเรีย กม.112-พ.ร.บ.คอมพ์ รีบเปิดขอรับบริจาคทันที!
โดยระบุว่า จากกรณีผู้ใช้ทวิตเตอร์ ชื่อว่า ไอซ์@nanaicez ซึ่งเป็นของ รักชนก ศรีนอก หรือ ไอซ์ นักกิจกรรมกลุ่มพลังคลับเฮาส์ ได้โพสต์ข้อความว่า ตนนั้น ถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 ทั้งระบุข้อความว่า
วันนี้ได้รับหมายเรียก 1 ฉบับ ซึ่งน่าจะเข้าข่าย 112 /พ.ร.บ.คอมฯ แต่ไม่ได้ระบุว่า แจ้งมาจากทวีตไหนข้อความไหน ขออนุญาตเปิดรับบริจาคกำลังใจจำนวนมาก
โดยก่อนหน้านี้ น.ส.รักชนก ได้เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า รีเด็ม (REDEM) ที่หน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ เมื่อคืนวันที่ 6 มีนาคม 2564 โดยมีการกล่าวหาโจมตี น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก หรือ เจ๊ปอง และ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล สองพิธีกรชื่อดังช่องท็อปนิวส์ ว่า ยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนเกลียดกันเอง ต่อมา เจ๊ปอง และ กนก ประกาศผ่านเฟซบุ๊กว่า จะดำเนินคดีฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาท
จากนั้น น.ส.รักชนก ได้โพสต์ทวิตเตอร์@nanaicezเผยแพร่รูปภาพหมายศาลจากศาลแขวงพระนครเหนือ ในคดีหมายเลขดำที่ อ.1066/2564 และ อ.1067/2564 ซึ่งมี น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก และ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล เป็นผู้ยื่นฟ้อง ทั้งนี้ ศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 เวลา 09.00 น. และ 13.00 น. โดยผู้ฟ้องยื่นเรียกค่าเสียหายคดีละ 1 ล้านบาท
โดย น.ส.รักชนก ระบุว่า ได้รับหมายศาล 2 ฉบับ ถูกฟ้องเนื่องจากวิจารณ์การทำงานในฐานะสื่อของ 2 บุคคล เราพยายามหาข่าวที่เกี่ยวข้องในกรณีที่สื่อฟ้องประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงาน หามาตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่เจอเลย อยากศึกษาเพื่อเป็นกรณีตัวอย่างในการต่อสู้คดีต่อไป ใครมีความรู้/ข้อมูลแนะนำเราได้เลย
นอกจากนี้ น.ส.รักชนก โพสต์คลิปถึงเหตุการณ์วันดังกล่าวโจมตีสองพิธีกรชื่อดังหน้าศาลอาญา พร้อมข้อความว่า วันนี้เราได้รับหมายศาล 2 ชุด กรณีที่พาดพิงชื่อบุคคลในคลิปนี้ ไหนๆ ก็โดนละเนอะ รีโพสต์อีกสักรอบ เผื่อใครยังไม่เคยเห็นว่า ชั้นเปรี้ยวตีxแค่ไหน ใบหน้าที่มีมือทำท่ากอด
“ตื่นเช้ามาวันนี้ มีหมายศาลมาที่บ้าน 2 หมาย อีดxxตื่นเต้น 55555”
แน่นอน, ทั้งสองประเด็น มีความน่าสนใจแตกต่างกัน เริ่มจากประเด็นการโพสต์ความเห็นของนายปิยบุตร ทั้งแง่ส่วนตัว และอ้างงานวิชาการ ถือว่า ชี้นำทางความคิดคนรุ่นใหม่ และขบวนการ 3 นิ้ว มาตลอด
โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ นายปิยบุตร ก็แยบยลพอที่จะหลบเลี่ยงการเอาผิดตามกฎหมาย ม.112 ได้ เนื่องจากเจ้าตัวยังเป็นนักกฎหมายด้วย แต่วิญญูชนก็จะรู้ว่า ซ่อนความนัยหมายถึงอย่างไร อย่างที่ ดร.นิว พยายามชี้ให้เห็น
และที่ต้องไม่ลืม นายปิยบุตร เป็นหัวขบวนคนสำคัญในการทำงานความคิดเรื่องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งยังเคย นำเสนอในทำนองว่า ถ้าไม่ปฏิรูป ระวังจะถูกปฏิวัติ และ ปฏิรูปแบบปฏิวัติ เงื่อนไขทะลุเพดาน เอาไว้ด้วย อันสะท้อนได้ไม่ยาก ว่าออกจากปาก หรือ ข้อเขียนของนายปิยบุตร หมายถึงอะไร
ส่วนประเด็นต่อมา กรณี การขอรับบริจาคของแกนนำสามนิ้ว หลังโดนคดีตาม ม.112 ก็นับว่าทำให้น่าคิดอยู่ไม่น้อย
เพราะดูเหมือนว่า นี่คือ “ผลงาน” ที่จะนำไปสู่การเบิกจ่ายโดยเป็นที่รู้กันหรือไม่??? เพราะไม่แต่เฉพาะกรณีของรักชนก ศรีนอก หรือ ไอซ์ นี้เท่านั้น หากแต่แกนนำสามนิ้วทุกคนก็ว่าได้ที่ถูกดำเนินคดี โดยเฉพาะคดี 112 การรับบริจาคจะได้ราคาแพง รวมทั้งมีข่าวว่า แกนนำหลายคนมีเงินในบัญชีคนละหลายล้านจริงหรือไม่ ไม่รู้ และเมื่อถูกแฉ แกนนำเหล่านั้น ก็ไม่มีใครออกมาปฏิเสธ?
ที่สำคัญ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนบริจาคเงินก้อนโต มวลชนที่รักประชาธิปไตย หรือ อีแอบ? เพราะไม่เคยมีการเปิดเผย แจกแจงบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด หรือ โปร่งใส แม้ว่าจะมีเสียงเรียกร้อง ทั้งจากสาวกสามนิ้ว และคนทั่วไป
นอกจากนี้ ทุกกลุ่มม็อบ ยังมีบัญชีขอรับบริจาคของตัวเอง ในการเคลื่อนไหว ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ม็อบมีท่อน้ำเลี้ยง มีกลุ่มคนสนับสนุน มีการวางวางแผนมาเป็นอย่างดี ทั้งประเด็นเคลื่อนไหว ยุทธวิธีเคลื่อนไหว เป้าหมายที่จะโจมตี ขบวนการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเมื่อมีคดี เมื่อต้องใช้เงินประกันตัว และเมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ ก็จะมีนักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน ออกมาปกป้อง ถือหาง รวมทั้งมีส.ส.บางพรรคใช้ตำแหน่งประกันตัว ในคดีร้ายแรง
หรือว่า ด้วยเหตุนี้ ทำให้ม็อบยุคนี้เกิดขึ้นราวดอกเห็ด เพราะมันมีการันตีค่าใช้จ่ายทุกอย่าง อย่างนี้นี่เองใช่หรือไม่ นี่แค่ข้อสังเกต และคำถามที่ประชาชนอยากรู้เท่านั้น