xs
xsm
sm
md
lg

เริ่มมีการช่วยเหลือ!? “หมอพรทิพย์” เล่าประสบการณ์กังวลคดี “ผู้กำกับโจ้” พลิก อดีตบิ๊ก ศรภ. ชี้ 7 ข้อข้องใจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ “ผู้กำกับโจ้” ที่ถูกจับตาว่า เริ่มมีการให้ความช่วยเหลือ!? จากแฟ้ม
“หมอพรทิพย์” กังวลคดี “ผู้กำกับโจ้” เริ่มมีการให้ความช่วยเหลือ!? ระบุ อุ้ม รีด ซ้อม ทรมาน ยัดเยียด มีมานานจนมองว่าธรรมดา “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ชี้ เปิดข้อข้องใจ 7 ประเด็น “หมอวรงค์” ซัด “โรม” โยงมั่ว พาดพิง “จิตอาสาฯ”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (28 ส.ค. 64) แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

แถลงข่าวจบไม่มีคำชื่นชมใดๆ เกิดขึ้น กลับมีแต่ความกังวลว่า คดีนี้เริ่มมีการได้รับการช่วยเหลือ ทำไมไม่ให้ผู้ต้องหาคนอื่นในคดีนี้ได้พูด ทำไมคนอื่นถูกใส่กุญแจมือ แต่ตัวหัวหน้าถูกผูกข้อมือด้วยวัสดุต่างกัน

ฟังแต่ละคนที่ให้ข้อมูลก็ยิ่งดูเหมือนการอุ้ม รีด ซ้อม ทรมาน ยัดเยียดที่เป็นสิ่งที่มีมาคู่กับงานของตำรวจนานแล้ว กลายเป็นสิ่งที่ธรรมดา ถูกต้อง ทำเพราะมีเจตนาดีเพื่อช่วยควบคุมปัญหายาเสพติด อ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพวกเฉยเลย คนเอาคลิปมาเปิดเผยกลายเป็นผู้ขัดแย้งหรือขัดผลประโยชน์กับ ผกก.ทันที แบบนี้ยิ่งต้องรีบปฏิรูปตำรวจด้านการอำนวยความยุติธรรมโดยเร็วที่สุด

ในชีวิตเคยตรวจสอบการตายที่ผู้ต้องหาทางใต้ หลังถูกจับไม่ถึงสองชั่วโมงก็ตายในห้องขัง เบื้องต้นช่วยกันสรุปว่าขาดอากาศตาย แต่เมื่อญาติร้องขอความเป็นธรรม จึงพบว่า ถูกซ้อมซี่โครงหัก กดหัวใจแตก ถูกเผาไข่ตอนกำลังจะตาย แต่ก็ช่วยกันสรุปเบื้องต้นว่าขาดอากาศตาย

อีกคดีหดหู่คือ คดีที่ผู้ต้องหาถูกอุ้มจากอ่างทอง มาพบเป็นศพที่แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ แต่ทำคดีว่ามีการต่อสู้การจับกุมเลยถูกยิงตายที่แจ้งวัฒนะ ญาติร้องขอให้ผ่าศพครั้งที่สอง จึงพบหลักฐานสำคัญค้างในศพ คือ เสื้อคนตายและหลักฐานที่บอกเวลาตาย ทำให้สภาทนายความในสมัยนั้น ส่งทีมไปหาหลักฐานเพิ่มได้ที่อ่างทอง ว่าแท้ที่จริงถูกยิงเสียชีวิตที่อ่างทอง

ภาพ แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์  จากแฟ้ม
ทั้งสองคดีญาติต้องเป็นฝ่ายร้องขอความเป็นธรรมและต่อสู้เอง ใช้เวลาหลายปีจนจบคดีในขั้นตอนการไต่สวนวิสามัญ ด้วยเงินจำนวนหลายล้าน ผู้กระทำผิดยังคงอยู่ในระบบราชการ เพราะให้ฝ่ายเดียวกันตรวจสอบและขั้นตอนกฎหมายปล่อยให้ข้อมูลและหลักฐานถูกตัดออกไปจากสำนวนด้วยข้อกฎหมายที่เอื้อช่องว่างและการใช้ดุลพินิจ

ถ้าตำรวจยังคงเห็นว่า วิธีเดิม อุ้ม รีด ซ้อม ยัดเยียด ป้ายสี จนถึงฆ่าแล้วบอกว่าพลั้งมือเป็นสิ่งที่ไม่ผิด เห็นที พ.ร.บ.ตำรวจที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการ และ พ.ร.บ.ห้ามอุ้มหายและซ้อมทรมาน ก็ไม่ช่วยอะไร เนื้อหาในกฎหมายที่อยู่ในชั้น ส.ส. มีแต่หลักการเตือน แต่ไม่มีวิธีตรวจสอบการซ้อม ตรวจสอบการตาย รวมทั้งไม่มีระบบการตรวจสอบศพนิรนามด้วยหน่วยงานกลาง เห็นทีความยุติธรรมคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง ไม่เชื่อลองไปตามคดีเหล่านี้ดูว่า เอาตัวเจ้าหน้าที่ที่ลงมือมาลงโทษได้แค่ไหน

ต้องทำให้ตำรวจมีจิตสำนึก เคารพในสิทธิของบุคคล ถ้าเลือกทำงานในกระบวนการยุติธรรม ต้องมีศรัทธาในการทำสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่เป็นธรรม ถ้ายังคงเลือกเพราะเป็นเส้นทางแห่งความมั่งคั่ง ความยุติธรรมจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้

ตาชั่งเอียงตั้งแต่เริ่มต้น ยากที่ตาชั่งจะกลับมาอยู่ในดุล

ภาพ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตระดับบิ๊กในศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า

“เรื่องของตำรวจ

เรื่องที่นำความอัปยศมาสู่วงการตำรวจ ครั้งใหญ่ที่สุด ในยุคที่มีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจมานานแล้ว ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ชุดแรกแล้ว

คือ กรณี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ พร้อมพวก ทรมานผู้ต้องหา คดียาเสพติด จนเสียชีวิต ด้วยการคลุมถุงดำนั้น

พบว่า คลิป VDO ที่เผยแพร่นั้น มีความชัดเจนมาก ในระดับ HD ชัดเจนยากที่จะแก้ตัวได้ แต่ก็อุตส่าห์มีแนวทางแปลกๆ เกิดขึ้น

จนทำให้คนดูทีวี สงสัยว่า ตำรวจจะช่วยเหลือกัน จากการแถลงข่าวเมื่อคืนวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา โดย ผกก.โจ้ ได้ขอรับผิดและตอบคำถามผู้สื่อข่าว เริ่มจาก

1. ผกก.โจ้ อ้างว่า สาเหตุที่ต้องคลุมหัวผู้ต้องหา เพราะไม่ต้องการให้ผู้ต้องหาเห็นหน้า แต่ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งกลับถามว่า ทำไมต้องคลุมถึง 6 ถุง

2. คำถามนี้เอง เป็นต้นเหตุให้คนพูดกันทั้งเมืองติดต่อกันมาอีกหลายเรื่อง เช่น ถ้าไม่ต้องการให้เห็นแค่หน้า เมื่อคลุมถุงแล้วทำไมต้องขั้นบิดถุงให้แน่นจนไม่มีอากาศหายใจ

3. ผู้ต้องหาร้องออกมาก็ยังเฉยๆ กันอยู่

4. ทำไมต้องรอจนถึงป่านนี้ เพราะเรื่องเกิดตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค. เพิ่งจะมาเริ่มสืบสวนกันเมื่อเวลาผ่านไปแล้วเกือบ 20 วัน

5. ทำไมโรงพยาบาล ถึงออกใบรับรองการเสียชีวิต ว่ามีต้นเหตุมาจากการเสพยา

6. การไปรับตัว ผกก.โจ้ โดยมีรถสีขาวมาส่งนั้น มีการติดตามสืบหารถคันนั้นหรือเปล่า หรือพอจำเลขทะเบียนไม่ได้ ก็ปล่อยไป

7. อีกหลายเรื่องที่พูดกันไม่ชัดเจน เช่น ทำไมต้องถอดกล้องวงจรปิดออก แล้วกล้องตัวนี้ทำไมถึงต้องแอบถ่าย หรือ ที่มาของความร่ำรวยเกินฐานะของ ผกก.โจ้ ฯลฯ

ประเด็นเหล่านี้จะเป็นความท้าทายของผู้สื่อข่าวในยุคโลกไร้พรมแดนไปอีกเป็นสัปดาห์

เรื่องนี้ถ้าทำไม่ดี ตำรวจดีๆ อีกมากมายจะพลอยเสียหายไปด้วยครับ

ขอให้ทำกันอย่างโปร่งใส จริงจัง เพราะถ้าเรื่องนี้ถลำไปไกลเกิน จะเรียกคืนมาคงลำบากมากทีเดียวครับ”

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หรือ หมอวรงค์ รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า... #โรมอย่าโยงมั่ว #ปฏิรูปตำรวจ

ปรากฏการณ์ผู้กำกับโจ้ ที่คนไทยมองเห็นนั่นคือความเลวร้ายของตัวบุคคล ที่ถูกเชื่อมโยงไปยังองค์กรนั่นคือตำรวจ จนเกิดกระแสปฏิรูปตำรวจ

แต่ไม่น่าเชื่อ คนระดับ ส.ส.อย่าง นายรังสิมันต์ โรม กลับมองไม่เห็นเหมือนที่ประชาชนทั่วไปที่เห็น แต่เอาสิ่งที่ผู้กำกับโจ้ ไปอบรม “จิตอาสา” ของโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน ไปเชื่อมโยงถึงสถาบันเบื้องสูง

ถ้าจะพูดแบบชาวบ้าน คนที่เข้าอบรมจิตอาสา ก็มีทั้งคนดีคนไม่ดี คนที่เรียนธรรมศาสตร์ก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี คนดีก็ควรได้รับการสรรเสริญแต่คนไม่ดีก็ถูกลงโทษ และใช่ว่าทุกคนจะเหมือนกันหมด

การที่ นายโรม นำผู้กำกับโจ้ ไปโยงเรื่องนี้ รวมทั้งไปโยงตัวบุคคล ที่อบรมรุ่นเดียวกัน เพื่อโจมตีเบื้องสูง ผมคิดว่าสมองของนายโรมน่าจะยิ่งกว่าการอคติ แสดงว่า ความคิดชั่วๆ ถูกอัดแน่นในสมองจำนวนมาก มันจึงทำให้นายโรมแยกแยะไม่ถูกว่า อะไรคืออะไร

ภาพ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม จวก นายรังสิมันต์ โรม โยงมั่ว ขอบคุณภาพจากสยามรัฐออนไลน์
นายโรม น่าจะจำเหตุการณ์ดีเบต ที่ FCCT ได้นะ ที่ไปโจมตีมาตรา 112 วนเวียนซ้ำซากแบบนกแก้ว นกขุนทอง ต่อหน้าสื่อฝรั่ง แต่สุดท้ายถูกชุดข้อมูล ชุดข้อเท็จจริง เอามาสั่งสอน จนดูแต่คนสั่งผ่านมือถือ แทบต้องลุกไปเข้าน้ำไม่ทัน

สุดท้ายคนไทยเขาก็รับรู้ว่า พวกคุณถูกล้างสมองท่องบทโจมตีสถาบัน เอาใจฝรั่ง แบบไม่มีเหตุผล แม้แต่คำว่าสิทธิมนุษยชน ที่เอามาพูดติดปาก วันนั้นยังแจงไม่ได้เลยว่า มาตรา112 ขัดหลักการสิทธิมนุษยชนสากลข้อไหน

แทนที่ผิดแล้วต้องปรับปรุง แต่ก็ยังเป็นนกแก้วนกขุนทองต่อไป โดยเอาผู้กำกับโจ้ ไปเหมารวมเรื่อง “จิตอาสา” ทั้งๆที่ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะ “จิตอาสา” ต้องการสอนให้คนไทยมีจิตใจเสียสละ ช่วยเหลือคนอื่น แนวคิดนี้มันผิดตรงไหน อย่าโยงมั่วๆ ครับท่านโรม

ผมไม่แปลกใจ ที่ทำไมคนไทยแม้จะไม่ happy กับรัฐบาลชุดนี้หลายเรื่อง แต่บังเอิญมีนักการเมืองคิดชั่วแบบนี้ เขาจึงยอมให้รัฐบาลนี้ ทำหน้าที่ไปก่อน น่าจะรู้ตัวนะครับว่าทำไม ม็อบที่พวกคุณเชียร์ จึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ก็เพราะความคิดเลวในสมองแบบนายโรม ประชาชนเขาไม่เอาครับ

แน่นอน, ดูเหมือนสิ่งที่หลายฝ่ายเริ่มไม่แน่ใจเกี่ยวกับการดำเนินคดี “ผู้กำกับโจ้” ก็คือ การช่วยเหลือกันเองของตำรวจด้วยกัน รวมทั้งความน่าสงสัยว่า “ผู้กำกับโจ้” มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือ ผู้มีอำนาจทางการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ อย่างที่มีข้อสังเกตให้เห็นหลายประเด็น

ที่สำคัญอีกอย่าง ที่ “ผู้กำกับโจ้” นำมาเป็นข้อต่อสู้ คือผู้ตายเป็นพ่อค้ายาเสพติด เป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม ทำให้ลูกหลานคนไทยต้องตกเป็นทาส และนำไปสู่ปัญหาอาชญากรรมมากมาย หมายความว่า ต้องการจะเปรียบเทียบให้เห็น ผลเสียจากการกระทำของผู้ตาย ร้ายแรงยิ่งกว่า การพลั้งมือฆ่าคนตายของตนเอง?

เรื่องนี้เอง ที่เป็นปัญหาการใช้ดุลพินิจของตำรวจ ในการรักษากฎหมาย โดยอาจคิดเองเออเอง ว่า อะไรคือความถูกต้องมากกว่ากัน ทั้งที่ความเป็นจริง ต้องแยกแยะให้ออกว่า การให้ความเป็นธรรมขั้นพื้นฐานกับผู้ต้องหาจะต้องเกิดขึ้นในขั้นตอนสืบสวนสอบสวนของตำรวจ เพราะตำรวจไม่อาจตัดสินผิดถูกได้ ซึ่งเป็นอำนาจของศาล ตำรวจเพียงทำสำนวนอย่างตรงไปตรงมาโดยปราศจากอคติ เพื่อให้อัยการสั่งฟ้องเท่านั้น ไม่ว่าผู้ต้องหาจะทำผิดอะไร

ประการต่อมา คือเรื่องที่ “คุณหญิงหมอพรทิพย์” พยายามชี้ให้เห็น คือ การที่ตำรวจยังคงใช้วิธีเดิมที่ใช้มานาน อุ้ม รีด ซ้อม ยัดเยียด ป้ายสี จนถึงฆ่า แล้วบอกว่าพลั้งมือเป็นสิ่งที่ไม่ผิด หรือเป็นความผิดที่ไม่รุนแรง ไม่ได้ตั้งใจ เป็นช่อง ทำให้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่สามารถยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือในฐานะที่เป็นตำรวจด้วยกันได้ โดยเฉพาะถ้ายิ่งเส้นใหญ่ก็ยิ่งง่ายดาย

ยิ่งผู้ต้องหาเป็นผู้ค้ายาเสพติด ยิ่งหาความชอบธรรมจากการปราบปรามและเรียกรับผลประโยชน์ได้ ทั้งไม่ยากที่จะหาแนวร่วมจากผู้คนในสังคมบางส่วนด้วย?

นี่เองทำให้การ “ปฏิรูปตำรวจ” ไม่ใช่แค่บทบัญญัติของกฎหมาย ที่อาจทำให้สวยหรูอย่างไรก็ได้ หากแต่ต้องอาศัยจิตสำนึกของบุคคลที่มาเป็นตำรวจ เป็นสำคัญด้วย มิใช่มาเป็นตำรวจเพื่อมุ่งหวังร่ำรวย มั่งคั่งจากตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ ซึ่ง “คุณหญิงหมอพรทิพย์” ก็สรุปเอาไว้อย่างน่าคิดทีเดียว

ทั้งหลายทั้งปวงที่หยิบยกมาให้เห็นจากหลายฝ่าย อาจสรุปได้ว่า การปฏิรูปตำรวจ มีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เหนืออื่นใด คือ ปฏิรูปอย่างไร ให้เกาถูกที่คัน หรือ แก้ได้ตรงจุดมากที่สุด มิใช่ปฏิรูป เพราะจำต้องปฏิรูป เพราะถูกกระแสกดดันเท่านั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น