เจนนิเฟอร์ คิ้ม, ทาทา ยัง นำขบวน “ดารา-คนดัง” จงรักภักดี ไม่กลัวทัวร์ลง “ศชอ.” ประกาศจับมือ เปิดหน้าสู้สามกีบ คนดีต้องมีที่ยืน “โรม ก้าวไกล” ได้ที โยงคดี “ผู้กำกับโจ้” กับตั๋วช้าง เหน็บผลผลิต จิตอาสาพระราชทาน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (26 ส.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น คนดีต้องมีที่ยืน ศชอ.ประกาศจับมือ “ดารารักสถาบันฯ” พร้อมเปิดหน้าสู้สามกีบ
โดยระบุว่า สืบเนื่องจากกรณีที่เหล่าคนดังในวงการบันเทิง ได้ออกมาแสดงพลังความจงรักภักดี โพสต์ภาพในหลวง รัชกาลที่ ๙ ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว และถูกทัวร์ม็อบ 3 นิ้ว เข้ามาคอมเมนต์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก
โดยพบว่า ตอนนี้ มีนักร้องดัง เจนนิเฟอร์ คิ้ม, ทาทา ยัง, กัสเบล ดาราดัง และ เก๋ไก๋ ยูทูบเบอร์ชื่อดัง ที่ออกมาตอบโต้แบบตรงไปตรงมา ถึงจุดยืนที่ต้องการรักสถาบันฯ และขอให้กลุ่มที่เห็นต่างเคารพความจริงในข้อนี้ด้วยว่า เรารักในแบบของเรา
เริ่มที่ เจนนิเฟอร์ คิ้ม ได้โพสต์ข้อความไว้ว่า “แม่ขอกราบขอบพระคุณทุกๆ กำลังใจของทุกๆ คน ที่ฟอลด้วยความจงรักฯต่อพ่อหลวง ร.๙ มันน่าเศร้าใจที่การแสดงความเคารพรักและเทิดทูนพ่อหลวง ร.๙ ในทุกวันนี้ กลายเป็นความผิด จนหลายคนไม่กล้าแสดงออก”
สำหรับแม่เอง แม่ทำในพื้นที่ของแม่ เหมือนเราตั้งโต๊ะไหว้เจ้าแล้วคนมาถีบโต๊ะเราล้มแล้วถ่มถุยใส่บ้านเรา…เราควรจะถีบหน้ามันมั้ย?…เราควรจะตบปากมันเท่าอายุแม่มั้ย?…แม่ไม่เคยไปวุ่นวายกับความคิดใคร เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะคิด แต่ถ้าอยากมีเรื่อง…ข้อแรกมึงต้องใจถึง…
ข้อที่ 2 มึงต้องเงินถึง…เมื่อจะต้องเผชิญหน้ามึงอย่าหนี!!!…เพราะแม้กำลังกายกูจะไปไม่ถึงมึง…แต่กำลังเงินกูไปถึง!…กูมั่นใจ”
สุดท้าย เจนนิเฟอร์ คิ้ม ได้เขียนข้อความปิดท้ายว่า “และแม่จะยังตั้งโต๊ะไหว้เจ้าต่อไปกับอีกหลายคนที่มาไหว้พร้อมๆ กับแม่ ด้วยความจงรักฯ จนวันตาย #ไหว้เจ้ากัน”
ต่อมา ทาทา ยัง ได้ประกาศกลางไอจี ว่า ขอบคุณคนที่ติดตาม และยังเชื่อมั่นในความที่เราจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ต่อให้ยอดติดตามลดลง เพราะมาจากที่เจ้าตัวโพสต์แบบนี้ก็ไม่เป็นไร จะย้ำจุดยืนเดิมต่อไป
ขณะที่ “กัสเบล พีรกร โพธิ์ประเสริฐ” ดาราและนักแสดงชื่อดัง ออกมาเคลื่อนไหว ประกาศจุดยืนเช่นกัน หลังจากที่เจ้าตัวได้โพสต์ภาพในหลวง ร.๙ แล้วโดนทัวร์ลง เพราะตอนนี้กัสเบลได้ใช้ชีวิตกับครอบครัว อยู่ที่สหรัฐอเมริกา จนมีพวกทัวร์ม็อบ 3 นิ้วเข้ามาด่าทอ ว่าเป็นสลิ่ม ขอเลิกติดตาม บ้างก็บอกว่า สร้างภาพ เพราะตัวเองก็ไปใช้ชีวิตสุขสบายที่เมืองนอก
และยังมีคอมเมนต์ด่าอีกว่า “บูด ขนาดมีแฟนต่างชาติ อยู่เมืองเจริญ ไม่ซึมซับอะไรมาเลย บาย” โดยกัสเบลได้ตอบกลับไปอย่างสุภาพ ว่า “ใช่แล้ว เราอยู่เมืองเจริญ เจริญทั้งเทคโนโลยี เจริญทั้งคน เจริญทั้งทางสมอง เจริญทั้งความคิด เป็นความคิดที่แตกต่างจากพวกคุณ เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะ call out มีสิทธิที่จะโพสต์ในสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราชอบอยากโพสต์ .. that’s why? ทำไมโลกถึงสร้างคนแบบคุณมา คนเราจะอยู่ที่ไหนไกลบ้านเกิดอย่างไร คนที่จะเจริญได้เค้าจะไม่ลืมกำพืดตัวเองหรอกว่ามาจากไหน”
ส่วน “เก๋ไก๋” โพสต์คำสอนของในหลวง ร.๙ เตือนใจเด็กคนรุ่นใหม่ ว่า เมื่อก่อน มีคนๆ นึงเมตตา ดูแลสอนคนเป็น 60 ล้านคนให้รักสามัคคีได้ยังไง? เด็กที่เกิดมาใหม่ ไม่สงสัยกันหรอ พ่อแม่ที่มีลูก ดูแลแค่ไม่กี่คน ยังบอก ไม่ใช่เรื่องง่าย ปวดสมอง จะบ้าตาย ก็เด็กยุคนี้มันดื้ออะ ทำไงได้ แต่พ่อแม่ หรืออาจารย์ ที่สอนเรามาดีก็เพราะว่ามีโรงเรียนและคนอื่นสอนมาอีกทีนั้นแหละ ทุกคนมีความรู้ มีความเชื่อมั่น ในตัวเองมันก็ดีค่ะ แต่ถ้าสำเร็จแล้ว มีหลักคำสอน ให้คนอื่นได้มีความสุขทุกด้าน ก็จะดีด้วย อิอิ ระลึกและเตือนสติ ตัวเองจ้า
ทั้งนี้ การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มดารา คนดัง ที่รักในสถาบันฯ กลับถูกกลุ่มการเมืองตรงข้ามโจมตี ด่าทอว่าเป็นสลิ่มและขอเลิกติดตาม จนทำให้หลายคนมองว่า ต้องช่วยกันไม่ให้ตรรกะในสังคมผิดเพี้ยน ต้องเคารพกัน เพราะต่อให้อะไรๆ จะเปลี่ยนไป นายกฯเปลี่ยนคน นักการเมืองเปลี่ยนหน้าเข้ามาบริหารบ้านเมือง แต่สถาบันฯยังอยู่คู่กับคนไทยเสมอ ต้องไม่ระรานคนที่จงรักภักดี
ล่าสุด เพจเฟซบุ๊กของศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.)โพสต์ข้อความ พร้อมช่วยเหลือและสนับสนนุดารา คนดังที่เคลื่อนไหวรักสถาบันฯ และโดนทัวร์ลง พร้อมระบุข้อความว่า “ศชอ. พร้อม War กับพวกสามกีบที่จ้องล้มสถาบัน ทุกสนามรบ”
อย่างไรก็ตาม ได้มีคอมเมนต์เข้ามาชื่นชม และพร้อมสนับสนุนภารกิจนี้ โดยบอกว่า ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น คนรักสถาบัน คนที่จงรักภักดีต้องมีที่ยืน
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น “โรม” ก้าวไกล โยงมั่ว! สั่งปลดแล้ว “ผู้กำกับโจ้-ประสิทธิ์” พ้นจิตอาสาพระราชทาน ชี้ประพฤติตัวไม่เหมาะ!?
โดยระบุว่า จากกรณีที่คลิปหลักฐานโผล่ออกมาทางโซเชียลฯ เผยให้เห็นภาพในห้องสอบสวนสถานีตำรวจ ที่มีชายฉกรรจ์แต่งกายคล้ายตำรวจอยู่สี่ห้าคน โดยหนึ่งในนั้นคือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ใช้ถุงพลาสติกสีขาว คลุมหัวชายที่นั่งเก้าอี้ หลังจากนั้น ชายคนนั้นก็ล้มลงกับพื้น ชายฉกรรจ์กรูเข้าไปล้อมชายคนนั้น ก่อนที่จะแน่นิ่งไป
ต่อมา พนักงานสอบสวน ภ.จว.นครสวรรค์ ได้ขออนุมัติหมายจับจากศาล โดยศาลอนุมัติหมายจับ ผู้กำกับโจ้ กับพวกรวม 7 คน ในข้อหาร่วมกันฆ่าโดยเจตนา หลังจากคลิปการก่อเหตุทรมานผู้ต้องหา และ พล.ต.ต.ระพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ (ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์) ได้แจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีอาญากับ “ผู้กำกับโจ้” โดยกล่าวหาว่าร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
ต่อมา ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ได้มีหนังสือ เรื่อง ให้บุคคลพ้นสภาพจากการเป็นจิตอาสา 904 โดยให้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล จิตอาสา 904 รหัสประจำตัว 2A-065 พ้นจากจิตอาสาพระราชทาน เนื่องจากทำให้เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงและสถานภาพของจิตอาสา 904 และมีคำสั่งให้เรียกคืนเครื่องแต่งกาย หมวก ผ้าพันคอ เครื่องหมายจิตอาสา 904 (ปีกโลหะ ปีกผ้า) บัตรประจำตัวและประกาศนียบัตร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งปลด ประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน ซึ่งเป็นผู้ที่เคยผ่านการอบรมโครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 เช่นเดียวกัน โดยระบุในหนังสือว่า ประสิทธิ์ ได้กระทำการในสิ่งที่ให้เกิดความเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงและสถานภาพจิตอาสา 904 จากการเป็นผู้ต้องหาในฐานความผิดร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกับกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พร้อมเรียกคืนเครื่องแต่งกาย บัตรประจำตัว และใบประกาศนียบัตรเช่นเดียวกัน
ในขณะเดียวกัน กลุ่มแนวร่วมคณะราษฎร ก็ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก ทั้งมีการพูดถึงโครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 มีการพาดพิงไปถึงสถาบันด้วย
รวมทั้ง นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว มีเนื้อหาบางส่วนว่า รีดไถ ซ้อมทรมาน ปกปิดการฆาตกรรม และคนทำคือตำรวจจิตอาสาพระราชทาน
ประเด็นที่สั่นสะเทือนสังคมไทยที่สุดประเด็นหนึ่ง ณ เวลานี้ คือ การกระทำของตำรวจต่อประชาชน ทั้งผู้ชุมนุมที่ถูกทำร้าย สลายการชุมนุม จนเกิดเป็นวิกฤตศรัทธาต่อวงการตำรวจอย่างหนัก และนี่ยังผ่านไปเพียงครึ่งปี ที่ผมได้ทำการอภิปรายกรณี #ตั๋วช้าง ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบที่ผ่านมา เพื่อชี้ให้เห็นว่า ในวงการตำรวจมีการใช้เส้นสาย ระบบตั๋ว และเครือข่าย ผ่านตำรวจที่ใกล้ชิดกับวัง ใช้โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน อ้างความใกล้ชิดเบื้องสูง ทำการสร้างเครือข่ายที่ไม่มีใครกล้าตรวจสอบด้วยเครื่องแบบของ “คนดีผู้ใกล้ชิด”
จนเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธร จังหวัดนครสวรรค์ ถูกกล่าวหาว่า ได้กระทำการรีดไถและซ้อมผู้ต้องหาที่จับกุมได้จนเสียชีวิต หลักจากมีความพยายามไถเงิน 2 ล้านบาท ใช้ถุงคลุมศีรษะจนผู้ต้องหาขาดใจตาย แล้วไปพยายามปิดปากครอบครัวผู้เสียชีวิต สั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจใน สภ.ลบวิดีโอกล้องวงจรปิด แล้วมาอ้างต่อสาธารณะว่า ผู้ต้องหาเสพยาเกินขนาด
จนสุดท้าย ผมก็ได้เห็นคลิปวิดีโอสองชิ้นที่เห็นเหตุการณ์ชัดเจนว่า ผู้กำกับคนดี ผู้อยู่ในเครือข่ายจิตอาสาพระราชทาน ที่อ้างตัวว่าสนิทสนมกับ พลตำรวจโท ต. ผู้กว้างขวางแห่งวงการตำรวจที่ผมเอ่ยถึงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ผ่านมา มีพฤติกรรมโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ซ้อมฆ่าคนและอำพรางคดีหน้าตาเฉย ราวกับว่าชีวิตคนเป็นผักปลา
นี่หรือครับคนดี? นี่หรือครับคนที่จบหลักสูตรประจำของจิตอาสาพระราชทาน? นี่หรือครับผลผลิตของระบบที่ผมเคยพูดถึงไป? การเป็นตำรวจสวมผ้าพันคอจิตอาสานี่มันยิ่งใหญ่กันขนาดนี้เลยหรือ? สุดท้ายแล้วคนพวกนี้นี่แหละครับที่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือใช้งานเพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่เคยสนใจว่า ประชาชนจะต้องเจออะไรบ้าง สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกับตำรวจจิตอาสาพระราชทานคนนี้ครับ? สุดท้ายก็แค่ถูกสั่งย้าย จากผลของการฆ่าคนตายและพยายามอำพรางคดี น่าเหลือเชื่อจริงๆ นะครับ การเป็นตำรวจที่มีเส้นสายในระบบเครือข่ายอะไรแบบนี้ได้ จะทำอะไรก็คงสะดวกสบายไปหมดจริงๆ
วงการตำรวจเองก็ต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองมากกว่านี้แล้วครับ รวมไปถึงหัวเรือใหญ่ ทั้งพลเอก ประยุทธ์ และ พลเอก ประวิตร ที่นั่งหัวโต๊ะ ก.ตร. ที่จะจริงจังแค่ไหนกับการดำเนินการต่อกับกรณีที่เกิดขึ้น มิฉะนั้น การปล่อยให้ตำรวจที่อ้างตัวใกล้ชิดเบื้องสูงทำอะไรไปเรื่อยๆ แบบนี้ สุดท้ายคงไม่พ้นจะพากันพังหมดทั้งโครงสร้างแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม การมาเป็นจิตอาสาพระราชทานนั้น กับความประพฤติส่วนบุคคล ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ก็มีแนวร่วมสามกีบหลายคน พยายามนำประเด็นดังกล่าวมาวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อโยงไปถึงการพาดพิงสถาบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ เริ่มจากเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งในสังคมประชาธิปไตย สนับสนุนให้มีการแสดงออก และให้ยอมรับความเห็นต่างของคนในสังคมอยู่แล้ว
แต่ปรากฏว่า พักหลังมานี้ มีคนพวกหนึ่งที่สนับสนุนการชุมนุมทางการเมืองของม็อบสามกีบ โดยตั้งเป้า "ปฏิรูปสถาบันฯ" พยายามหาแนวร่วมจากดารา คนดัง ที่มีฐานความนิยมของประชาชนจำนวนมาก ให้เห็นด้วยกับแนวความคิดของพวกเขา อ้างเป็นความคิดก้าวหน้า อ้างเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยที่เป็นสากล อ้างใครบ้างเป็นอุปสรรค์ จนคนบันเทิง แตกออกเป็นสองฝ่าย ทั้งผู้เห็นด้วยและเห็นต่าง
ในผู้เห็นต่าง เมื่อเห็นว่า ไม่สามารถโน้มน้าวได้แล้ว ก็จะมุ่งทำลาย โดย “บูลลี่” (ล่าแม่มด) หรือที่เรียกว่าเอาทัวร์ไปลง รวมทั้งทำให้ไม่มีที่ยืนในสังคม สิ่งเหล่านี้มีให้เห็นมาแล้วมากมาย
แต่วันนี้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นมา นั่นคือ เหล่าดารา-คนดังทั้งหลายพร้อมเปิดหน้าสู้ ไม่กลัวทัวร์ลง ไม่กลัวที่จะสู้คดีในศาล ไม่กลัวถูกแบน เพราะเชื่อมั่นในจุดยืนที่มีความจงรักภักดี และประกาศให้รู้ว่า ต่อไปนี้ คนที่มีความจงรักภักดีต้องมีที่ยืน เรื่องนี้นับว่าน่าติดตาม
ส่วนเรื่อง คดี “ผู้กำกับโจ้” ที่ “ส.ส.โรม” นำมาใช้พาดพิง โครงการจิตอาสาพระราชทานนั้น อาจต้องแยกแยะให้ออก ระหว่าง “ตัวบุคคล” กับองค์กร ซึ่งก็คือ โครงการจิตอาสาพระราชทาน ที่จะเหมาเข่งไม่ได้
และก็ถือว่า โครงการฯได้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ไม่ชักช้า หรือ ปกป้องกันเอง จนทำให้เสื่อมศรัทธา
อีกเรื่องหนึ่ง ที่ต้องแยกแยะเช่นกัน ก็คือ ตำรวจทั้งหมด กับ ตัว “ผู้กำกับโจ้” และพวก ซึ่งไม่อาจเหมารวมได้ว่า ตำรวจมีพฤติกรรมเหมือนกันหมด อย่างที่ ส.ส.โรม นำไปเปรียบกับตำรวจคุมฝูงชนที่ปะทะกับม็อบ ซึ่งก็ต้องไปพิสูจน์กันว่า แต่ละกรณี ม็อบกับเจ้าหน้าที่ใครถูกใครผิดในชั้นศาล
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทุกคนเห็นร่วมกัน ก็คือ ถึงเวลาแล้วที่จะต้อง “ปฏิรูปตำรวจ” อย่างจริงจังเสียที เพราะตำรวจถือว่าเป็นผู้ให้ความยุติธรรมขั้นต้นแก่ประชาชน ถ้าตำรวจทำผิด ตั้งสำนวนผิดพลาด เบาไปหรือหนักไป ด้วยการทุจริตคิดมิชอบ และอยุติธรรมตั้งแต่ต้นแล้ว ก็ไม่อาจหวังความยุติธรรมได้อีกแล้ว
ถ้าพรรคก้าวไกล ใช้กรณีปฏิรูปตำรวจเป็นวาระเร่งด่วนของพรรคในการเกาะติดกัดไม่ปล่อย และผลักดันให้เป็นจริงเป็นจัง มากกว่าที่จะทุ่มเททุกลมหายใจการเมือง คือ การ “ปฏิรูปสถาบันฯ” ซึ่งคนไทยไม่เล่นด้วย อาจมีผลงานชิ้นโบแดงให้ประชาชนได้ชื่นชมมากกว่านี้ เพราะโอกาสที่จะทำสำเร็จ มีมากกว่าปฏิรูปสถาบันเป็นไหนๆ
หาไม่ก็คงเป็นได้แค่ “แกะดำ” ในสภาอย่างที่เป็นอยู่?