xs
xsm
sm
md
lg

3 นิ้ว-เด็กแว้นป่วนเมือง ด้อยค่า ปชต.ย่อยยับ !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

บางครั้งกลายเป็นดาบสองคมได้เหมือนกัน กับการที่ดึงเอาบรรดาพวกเด็กๆ เยาวชน มาร่วมชุมนุม เพราะเมื่อผ่านการปลุกเร้าไปช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว บรรดาวัยรุ่นเยาวชนเหล่านี้มักจะดึงรั้งไม่ค่อยอยู่ จนนำไปสู่การ “ก่อเหตุรุนแรง” จน “ทำลายเป้าหมาย” ของบางคนที่อยากให้เดินในเส้นทางหนึ่งต้องถูกเบี่ยงเบน หรือ “ล่มเสียกลางทาง” เหมือนกับที่กำลังเกิดขึ้นกัับม็อบที่ใช้สัญลักษณ์ “สามนิ้ว” ในเวลานี้

ที่ผ่านมา หากบอกว่ากลุ่ม “ม็อบ” ได้ยกระดับการเคลื่อนไหว และการชุมนุมออกมาหลายรูปแบบและมีหลากหลายกลุ่ม หลากหลายผลประโยชน์ที่หวังผลให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในประเทศ และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

หากเริ่มโฟกัสกับกลุ่ม “เครือข่ายสามนิ้ว” ในสารพัดชื่อเรียก ก่อนหน้านี้ มีแกนนำอย่างน้อยสามสี่คน เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” นายอานนท์ นำภา น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์” เป็นต้น ม็อบกลุ่มนี้มีเป้าหมายที่บอกว่า เพื่อต้องการ “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” อีกทั้งพฤติกรรมในการชุมนุมก็มีเจตนา “จาบจ้วง” ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง

จนที่สุดบรรดาแกนนำดังกล่าวเกือบทั้งหมดได้ถูก “ถอนประกันตัว” และถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม และถูกนำตัวกลับไปคุมตัวอยู่ในเรือนจำอีกครั้ง เนื่องจากคนพวกนี้ “กระทำผิดเงื่อนไขของศาล” ที่เคยยืนยันก่อนหน้านี้ว่าจะไม่เคลื่อนไหวในลักษณะความผิดตามข้อหาเดิมอีก

แม้ว่าจะยังมีบางคน เช่น น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” จะยังไม่ถูกนำกลับเข้าเรือนจำอีกครั้งก็ตาม เนื่องจากยังต้องรอการไต่สวนคำร้องขอถอนประกันตัวในวันที่ 7 กันยายนนี้ พร้อมกับ นายอานนท์ นำภา แต่สำหรับรายของนายอานนท์ เพิ่งถูกออกหมายจับในคดีความผิด มาตรา 112 ที่เกี่ยวกับการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จากกรณีการชุมนุมปราศรัยที่หน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม และถูกจับกุมตัวเมื่อค่ำวันที่ 9 สิงหาคม ที่ผ่านมา และศาลไม่ให้ประกันตัว จึงต้องกลับเข้าเรือนจำอีกครั้ง

อย่างไรก็ดี หลังจากแกนนำม็อบสามนิ้วดังกล่าวถูก “ถอนประกันตัว” และถูกคุมขังในเรือนจำดังกล่าว ทำให้การเคลื่อนไหวในลักษณะ “ล้มเจ้า” ได้ลดดีกรีลงมาบ้าง พร้อมๆ กับการรูปแบบ “การเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนไป”

เพราะหลังจากนั้น ก็เริ่มเห็นการเคลื่อนไหวในรูปแบบของ “คาร์ม็อบ” และ “แกนนำคนใหม่” ที่เริ่มเห็น “คนใส่เสื้อแดง” และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เข้ามาแทนที่ พร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวในลักษณะที่ถี่ยิบมากขึ้นของ “โทนี่ วู้ดซั่ม” หรือ นายทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับกลุ่มการเมืองของพวกเขา ทำให้หลายคนมองว่า นี่คือความพยายามในการ “ฮุบม็อบสามนิ้ว” ของ “เครือข่ายทักษิณ” นั่นเอง

อย่างไรก็ดี หากมองการเมืองก็ต้องมองหลายมิติ แม้ว่าจะมีความซับซ้อนบ้าง แต่หากค่อยๆ แกะรอย และค่อยๆ ติดตามก็จะพอเห็นภาพการเคลื่อนไหวชัดเจนขึ้นเหมือนกัน และ “มันไม่ง่าย” เพราะหากเข้าใจว่า “คนเสื้อแดง” และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็น “ลูกน้อง” ของนายทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งพรรคเพื่อไทย ขณะที่กลุ่ม “สามนิ้ว” ที่มีเป้าหมาย “ล้มเจ้า” นั้น ถูกมองว่ามี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อยู่เบื้องหลังในการขับเคลื่อน ขณะที่เกมในสภา ก็เคลื่อนไหวในนามพรรคก้าวไกล อะไรประมาณนี้

แต่หากทบทวนกันอีกที ก็ต้องเข้าใจได้ไม่ยากว่า พรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล เอาเข้าจริงก็ต้องถือว่าเป็น “คู่แข่ง” กันโดยตรง ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต และที่แน่นอนก็คือ มีฐานเสียงไม่น้อยที่ทับซ้อนกัน ซึ่งส่งผลชัดเจนมาตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว หลังจากพรรคไทยรักษาชาติ ถูกยุบพรรค และสิ่งที่ทำให้ทั้งสองพรรคนี้ต้องเผชิญหน้ากันเร็วกว่ากำหนด ก็คือ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ที่พรรคเพื่อไทย จับมือกับพรรครัฐบาล เช่น พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ เดินหน้าลุยแก้ไขระบบการเลือกตั้งจากบัตรเลือกตั้งใบเดียว เป็น “สองใบ”

หากสำเร็จนั่นเท่ากับว่า พรรคก้าวไกล “เสี่ยงสูญพันธุ์” หรือกลายเป็นพรรคต่ำสิบก็เป็นไปได้สูง และต่อมานำไปสู่การตอบโต้ “ด่าทอ” กันอย่างรุนแรง ลุกลาม หลังจากมีการยื่นญัตติ “ซักฟอก” รัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยต้นเหตุของความขัดแย้งจนระเบิดออกมาก็น่าจะมาจากเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวนั่นแหละ

อย่างไรก็ดี เมื่อวกกลับมาที่การชุมนุมที่ไม่ว่าจะเริ่มจากกลุ่ม “สามนิ้วล้มเจ้า” และต่อมาลดระดับลงมาเน้นเฉพาะขับไล่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นหลักก็ตาม แต่เมื่อการเคลื่อนไหวที่ “เลยเถิด” ทั้งเรื่องการย่ำยีสถาบันฯ จนต่อมาเลี้ยวเข้าสู่ “ความรุนแรง” จากการที่ใช้ “เด็กแว้น” และเด็กอาชีวะมาเคลื่อนไหว ขณะเดียวกัน เมื่อการเคลื่อนไหวที่ออกมาแบบมาไม่ให้มีแกนนำชัดเจน มันก็ยิ่งอันตราย เพราะควบคุมยาก

ทำให้เวลานี้กลายเป็นพวก “ก่อความวุ่นวาย” ป่วนเมือง สร้างความเดือดร้อนรำคาญไปทั่ว จนทำให้มีเหตุผลและสร้างเงื่อนไข “ง่ายต่อการจับกุม” ปราบปรามของเจ้าหน้าที่ ดังจะเห็นได้จากเริ่มการจับกุมบรรดาเยาวชน และพวกเด็กอาชีวะได้จำนวนมาก และคนพวกนี้จะถูกดำเนินคดีในข้อหาหนัก ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวที่ “รุนแรง” แบบนี้ที่ถูกสรุปแล้วว่าไม่ใช่การ “ชุมนุม” เรียกร้องทางการเมือง ส่วนเรื่องประชาธิปไตยอะไรนั่น ถูกกลบจนมิดไปแล้ว !!



กำลังโหลดความคิดเห็น