xs
xsm
sm
md
lg

จาก “พิมรี่พาย” ถึง “ฟ้าทะลายโจร” ตรรกะป่วยๆ ของพาณิชย์ และ อย.ที่เพิ่มเติมวิกฤต ? ** ติ่งแดง-ติ่งส้ม เปิดศึกน้ำลาย ซักซ้อม สาวไส้ ก่อนซักฟอกรัฐบาล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**จาก “พิมรี่พาย” ถึง “ฟ้าทะลายโจร” ตรรกะป่วยๆ ของพาณิชย์ และ อย. ที่เพิ่มเติมวิกฤต ?

เกิดงานเข้าซะงั้น สำหรับเซเลบโลกโซเชียลฯ แม่ค้าออนไลน์ และ ยูทูบเบอร์อย่าง “พิมรี่พาย” น.ส.พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์ กรณีไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กขายน้ำแร่ แถมชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท (ATK) โดยแม่ค้าออนไลน์คนดัง ระบุว่า “ขายน้ำเปล่า ส่วนชุดตรวจโควิด เขาไม่ให้ขายออนไลน์ แต่ขายออฟไลน์ เดินขายตามตลาดได้ เขากลัวอินเทอร์เน็ต ไม่ได้ขายแต่แถม ขายน้ำ 200 บาท เดี๋ยวแพงไป เขาฟ้องกรมคุ้มครองผู้บริโภค แต่นี่เป็นน้ำแร่สามโคก หากินยากมาก ขายขวดละ 120 บาท แถมชุดตรวจ 1 อัน” ซึ่งมีผู้สั่งซื้อแล้วกว่า 12,000 ชุด

ว่าแล้ว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ยื่นโนติสถึงแม่ค้าออนไลน์คนดัง ว่า ทำแบบนี้ไม่ได้ กางกฎหมายแล้วจะผิด 3 กระทง ตามกฎหมายของ อย. รวมถึง พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ จะถือว่าการจำหน่าย จ่าย แจก มีความหมายเท่ากับเป็นการขายทั้งหมด อีกทั้งชุดตรวจ ATK นั้น อย. อนุญาตให้มีการขายในร้านขายยา คลินิก สถานพยาบาลเท่านั้น การโฆษณาต้องมีการขออนุญาตจาก อย.ก่อน
นอกจาก อย. แล้ว เห็นว่า “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ก็จะร่วมด้วยช่วยหางานให้ “พิมรี่พาย” ด้วยข้อหาว่า ขายน้ำในราคาแพงเกินควร
เมื่อ “พิมรี่พาย” โดนโยนงานมาแบบนี้ เล่นเอาบรรดาแฟนคลับต่างส่ายหัวกับ “ตรรกะ” ของทางการ โดยเฉพาะ กรณี ATK ที่ในยามวิกฤตอย่างทุกวันนี้ คือ สิ่งจำเป็น การนำมาแจกของแม่ค้าออนไลน์คนดัง ก็เหมือนเป็น CSR ให้สังคมเหมือนๆ กับหลายโครงการที่พิมรี่พายทำช่วยเหลือสังคมช่วงโควิด และ FC รับรู้ถึงความตั้งใจของเธอ
เห็นได้ว่า พอ “พิมรี่พาย” เอามาแจก มีคนต้องการมากถึง 12,000 ชุด ก็สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนมากแค่ไหน ดังนั้น หากต้องการแก้ไข รัฐบาลต้องรีบนำเข้าชุดตรวจที่มีคุณภาพสูงสุด รีบกระจายไปให้กลุ่มเสี่ยง และทำให้ประชาชนมีความมั่นใจที่จะใช้ เพื่อที่จะไม่ต้องไปหาซื้อกันเองตามอินเทอร์เน็ต ปัญหาจะได้ลดลง มันถึงจะเข้าท่าเข้าที ไม่ดีกว่าหรือ

พิมรี่พาย
จาก “พิมรี่พายแจก ATK” วันเดียวกันนี้ก็มีข่าวว่า “เภสัชกรหญิง สุภัทรา บุญเสริม” ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข และรักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการ อย. และเช่นกัน ควงคู่มากับกระทรวงพาณิชย์ ที่ตะลุยจัดการกับผู้ผลิต “ฟ้าทะลายโจร”

ฝ่าย อย.กางกฎหมายแล้ว โดยระบุว่า ตรวจพบผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรผิดกฎหมาย มาหลอกขายให้ประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ เพิ่มอีก 11 ราย ความผิดที่พบ มีทั้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. และ ผลิตภัณฑ์สวมเลข อย.ผลิตภัณฑ์อื่น และกลุ่มที่เป็นของปลอมอ้างมีฟ้าทะลายโจร เป็นส่วนประกอบ
ส่วนกระทรวงพาณิชย์ งัดมาตรการควบคุมราคามากำราบโรงงานและผู้ผลิต โดยบอกว่า ตรวจเจอมี 9 ราย ที่เข้าข่ายขายแพง และสั่งให้พาณิชย์ทุกจังหวัดสแกนตามท้องตลาดอย่าให้มีพ่อค้าขายฟ้าทะลายโจรแพงเกินจริง
งานนี้ ดูเผินๆ ทั้ง อย. และพาณิชย์ เหมือนจะหวังดี การที่ อย.ลุยปราบของปลอม ของที่ไม่มีแหล่งผลิตที่ไปที่มา ก็สมควรอยู่หรอกที่จะปราบปราม ส่วนพาณิชย์จะเชือดพ่อค้าฉวยโอกาสขายฟ้าทะลายโจรแพง ก็ดีไม่ใช่ไม่ดี แต่...
พาณิชย์ก็ไม่เคยจำบทเรียนมาตรการคุมราคาของตัวเองสักที คุมราคาทีไร ยิ่งเพิ่มปัญหา เหมือนกรณีหน้ากากอนามัย นั่นไง
ยิ่งในยามวิกฤต ฟ้าทะลายโจรขาดแคลน เพราะมีความต้องการสูง ราคาวัตถุดิบถีบตัวสูง วัสดุบรรจุภัณฑ์ขาดตลาด แถมฟ้าทะลายโจรมีด้วยกันหลายเกรด มีความแตกต่าง และหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ของผู้ผลิตที่ผลิตออกมา ทั้งนำส่วนจากใบ กิ่ง ก้าน หรือ เฉพาะใบมาบดหยาบ ปริมาณของผงที่บรรจุในแคปซูลไม่เท่ากัน จำนวนแคปซูลในขวดต่างกัน
พูดง่ายๆ พาณิชย์ใช้มาตรฐานอะไรมาบอกว่า ราคาแพง หรือ ควบคุมให้ขายเท่ากัน ตรงนี้โรงงานและผู้ผลิตที่โดนตรวจสอบต่างฝากถามคำถามมา แทนที่จะเรียกมาพูดคุยเจรจากันหาทางออกร่วมกันในการแก้ปัญหาการขาดแคลน และหาราคาที่เป็นธรรม ให้ประชาชนไดัมีฟ้าทะลายโจรใช้อย่างเพียงพอ นี่คิดอะไรไม่ออกก็ออกมาตรการ “ควบคุม” ไว้ก่อน ใครที่ไหนจะกล้าผลิต กล้าเอาออกมาขาย ปัญหาการขาดแคลนก็ยิ่งจะมีต่อไป พอขาดของก็แพงตามมา แทนที่จะใช้กลไกตลาด เมื่อของมีมาก ผลิตออกมาได้เกิดการแข่งขันราคาก็ต้องตกลงมา ประชาชนได้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ ?
พาณิชย์ก็ว่า ตรรกะป่วยแล้ว หันมาดู อย. ก็ไม่ต่างกัน กรณีผู้ผลิตที่โดยตรวจสอบแล้วพบว่า “ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสวมเลขทะเบียนตำรับยา ฟ้าทะลายโจรของผลิตภัณฑ์อื่น” อันนี้เมื่อตรวจพบก็ควรตักเดือนให้เจ้าของรายนั้นทำให้ถูกต้องกลับมาขึ้นแบล็กลิสต์ ทำแบบนี้ตัดหนทางของรายเล็กๆ ที่ว่าจ้างโรงงานรับจ้างผลิต หรือ OEM

 สุภัทรา บุญเสริม - จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
ว่ากันตามจริง ตามระเบียบ อย. เองก็เปิดโอกาส ให้มีสิทธิ์มีเวลากำหนดที่จะใช้เลขทะเบียนตำรับยาจาก OEM ที่ได้รับอนุญาตจาก อย.เอง หรือ ที่เรียกว่า “ครอบ” หรือ “สวม” กันไปก่อนจนกว่าขั้นตอนการขอ อย.จะอนุญาตให้ ส่วนมากจะให้เวลา 1 เดือน
แต่ก็นั่นแหละ อย.ไม่เคยคิดปรับปรุง ขั้นตอนการพิจารณาขอ อย.ของตัวเอง
อย่าว่าแต่ฟ้าทะลายโจร ตอนนี้เป็นยาสามัญที่จำเป็นต่อการรักษาโรคระบาด ก็ควรต้องพิจารณาให้เร็ว เวลา 1 เดือน ถือว่านาน ความเป็นจริงที่เจอกันมา อย.ใช้เวลา 6 เดือนบ้าง เป็นปีบ้าง แล้วอย่างนี้วิกฤตยังให้รอได้หรือ ?
อย.ควรแก้ไขขั้นตอนตัวเอง โรงงานไหนไม่มั่นใจก็เข้าตรวจได้อยู่แล้ว วิธิคิดจัดการกับปัญหาวิกฤตไม่ว่าจะเป็น ATK มาถึง ฟ้าทะลายโจร ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ทำแบบเดิมๆ แบบกระทรวงพาณิชย์ และ “ตรรกะป่วยๆ” แบบรัฐราชการ ก็รังแต่เพิ่มเติมวิกฤตลงไป
ก็ขอฝากทั้ง “จุรินทร์” รมว.พาณิชย์ และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ช่วยโปรดคิดไตร่ตรองหาทางแก้วิกฤตในวิกฤตนี้ด้วย จะเป็นคุณูปการกับประชาชนที่รอคอย ทั้ง ATK และ ฟ้าทะลายโจร อย่างยิ่ง



** ติ่งแดง-ติ่งส้ม เปิดศึกน้ำลาย ซักซ้อม สาวไส้ ก่อนซักฟอกรัฐบาล
เพราะว่าพรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล อยู่ในขั้วการเมืองเดียวกัน ฐานมวลชนที่จะมาเป็นคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง ก็เป็นกลุ่มที่มีความชอบคล้ายๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกพรรคไหนเท่านั้น ...ไม่มีทางที่มวลชนอีกฟากฝั่ง ที่เป็น “ติ่งลุงตู่” หรือ “สลิ่ม” พลังประชารัฐ สาวกประชาธิปัตย์ รวมทั้งแฟนคลับหมอหนู จะย้ายข้างไปเลือกพรรคเพื่อไทย หรือก้าวไกล

ชัยธวัธ ตุลาธน - ภูมิธรรม เวชยชัย
ดังนั้น ความพยายาม “ด้อยค่า” กันเอง ระหว่างพรรคก้าวไกล กับพรรคเพื่อไทย จึงมีให้เห็นเป็นระยะๆ และถี่ขึ้นในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้รัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ที่เพื่อไทยหันกลับไปใช้บัตรเลือก 2 ใบ แต่ก้าวไกลไม่เห็นด้วย พยายามขวาง
ที่กำลังร้อนแรงในโซเชียลฯตอนนี้ ก็เรื่องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล 6 คน แต่ ไม่มีชื่อของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์
ประเด็นนี้คนของ “ก้าวไกล” มองว่าที่เป็นเช่นนั้น เพราะมีการ “ฮั้ว” ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพลังประชารัฐ... มโนไปถึงขั้นว่า ศึกซักฟอกครั้งนี้จะมีความเปลี่ยนแปลง ถึงขั้น “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องลาออก จากนั้นพรรคเพื่อไทยกับพลังประชารัฐ ก็จับมือกันตั้งรัฐบาล
เรื่องนี้ทำเอาโซเชียลฯ ร้อนฉ่า เมื่อ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน โดดออกมาตอกหน้า “ชัยธวัธ ตุลาธน” เลขาธิการพรรคก้าวไกล ...ประมาณว่า เลขาฯก้าวไกล ต้องเป็นผู้ใหญ่กว่านี้..อย่าใช้วิธีเล่าที่คลาดเคลื่อนข้อเท็จจริงฝ่ายเดียว..ไม่งั้นคงทำงานกันยาก ...พูดเอาดีใส่ตน ทำลายคนอื่น...อย่างนี้ทำงานร่วมกันยาก... สถานการณ์วันนี้ทุกคนกำลังจะตรวจสอบอภิปรายความล้มเหลวรัฐบาล...ทำไมเปลี่ยนประเด็นมาด้อยค่าพรรคเพื่อไทย...คิดอะไรอยู่ครับ!!! ผมไม่อยากคิดว่า ต้องด้อยค่าพรรคเพื่อไทยลง ถึงจะทำให้ตนเองแข็งแรงขึ้น !!
…ไม่เพียงเท่านั้น ทั้ง “ติ่งแดง” - “ติ่งส้ม” ต่างออกมาเพิ่มดีกรีความร้อนแรง ให้พุ่งขึ้นไปอีก ...อย่างเช่น “คำ ผกา” ลักขณา ปันวิชัย พิธีกรชื่อดัง ก็ออกมาซัด “ติ่งส้ม-ก้าวไกล” ว่าเดินเกมการเมืองแบบ “อำมหิตมาก” เห็นแต่ชัยชนะของตัวเอง จนยอมขายวิญญาณม้วนตัวกลับหลังหันไปฟาด “เพื่อไทย” หวังจะชนะพรรคเดียว … ล้มเผด็จการให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาทำลายคู่แข่งในสนามเลือกตั้ง
อย่าคิดแต่เรื่องทำลายคู่แข่งด้วยต้นทุนที่สูงที่สุด นั่นคือ ต้นทุนที่ว่าด้วยการชุบชีวิตวาทกรรม คนดี vs คนเลว และหรือ คนดีที่เลือกตั้งทีไรก็แพ้ ดังนั้น ต้องทำลายพรรคการเมือง “ชั่ว” ที่มักชนะเราเวลาเลือกตั้ง … มันเป็นราคาที่แพงเกินไป!

ธนาพล อิ๋วสกุล - ลักขณา ปันวิชัย
ขณะที่ “ธนาพล อิ๋วสกุล” บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นนายทุนให้ ก็โพสต์เยาะเย้ย ถากถางคนเดือนตุลาฯที่มีอิทธิพลในพรรคเพื่อไทย ลามไปถึงทักษิณ ว่า...

ความกระจอกของพวกเดือนตุลาฯ ที่ไปทำงานให้ “ทักษิณ” คือ การปล่อยให้ทักษิณไปเลือก “สมัคร สุนทรเวช” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชาชน ด้วยความคิดตื้นๆ แต่เพียงว่า จะทำให้ข้อหาล้มเจ้า ที่ฝ่ายพันธมิตรกล่าวหาทักษิณนั้นหายไป (แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเพราะสุดท้าย ฝ่ายเจ้าก็ถีบหัวส่งสมัครและยุบพรรคพลังประชาชนอยู่ดี)

ที่น่าผิดหวังกว่านั้น คือ คนเดือนตุลาฯ พวกนี้ก็ไปแก้ต่างให้ “สมัคร” ว่ามาตามกระบวนการประชาธิปไตย แล้วพวกเขาก็ไปงานรำลึก 6 ตุลาฯ ทุกปี …

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ “สงครามน้ำลาย” ระหว่าง “ติ่งแดง-ติ่งส้ม” ที่ยกเอาเรื่องการไม่อภิปราย “ลุงป้อมกับผู้กองมนัส” มาเป็นประเด็นประกอบฉาก

แต่คนนอกอย่าง “พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์” อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) มองว่าเหตุที่ “ลุงป้อม-ผู้กองธรรมนัส” ไม่ถูกอภิปรายเป็นเพราะว่า ศึกซักฟอกครั้งนี้ มีประเด็นหลักๆ ที่ต้องพูดอยู่ 4 เรื่อง คือ 1. การระบาดของโรคโควิด 2. การบริหารจัดการเรื่องโควิด 3. การแสวงหาผลประโยชน์จากสถานการณ์โควิด และ 4. การบริหารจัดการม็อบที่อ้างความไม่พอใจเรื่องการแก้ไขปัญหาโควิด

ทั้ง 4 เรื่องนี้ ไม่มีอะไรที่ไปเกี่ยวข้องกับลุงป้อมและผู้กองธรรมนัส เลย!!

ขืนเอาไปพูด ก็จะวกกลับมาเข้าตัวเอง … เพราะรัฐบาลก็จะเอาเรื่องสมัย “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” มาสวนกลับได้สบายๆ ดังนั้นพรรคเพื่อไทย จึงต้องตัดสองคนนี้ออกไป

อย่างไรก็ตาม การอภิปรายครั้งนี้สำคัญกว่าทุกครั้ง แม้รัฐบาลจะชนะด้วยจำนวนมือ แต่อาจจะแพ้ยับ ในสายตาประชาชนก็ได้ เพราะทุกครั้งรัฐบาลอ้างเรื่อง ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ได้ แต่คราวนี้ไม่รู้จะอ้างอย่างไร อ้างไม่ได้แล้ว ...

สำหรับ “ลุงตู่” แล้ว การอภิปรายที่พุ่งเป้าไปที่เรื่องโควิดครั้งนี้ เสียงของประชาชน คือ คำตัดสินที่สำคัญที่สุด !!




กำลังโหลดความคิดเห็น