ซัดกันเละ! “คำ ผกา” ใส่ไม่เลี้ยง “ติ่งส้ม-ก้าวไกล” เล่นเกมการเมือง “อำมหิต” กับ “พท.” หวังชนะพรรคเดียว “บก.ฟ้าเดียวกัน” คนใกล้ชิด “ทอน” หยาม “คนเดือนตุลา” ที่ทำงานให้ “ทักษิณ” กระจอก จับตารับคำท้าออก “วอยซ์ทีวี”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (17 ส.ค. 64) กรณีขัดแย้งระหว่างพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ที่ทำเอากลายเป็นกระแสร้อนบนโลกโซเชียล
ทั้งประเด็นที่มีกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ ร่วมรัฐบาล
ตามมาด้วย กรณีพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งมีพรรคก้าวไกลรวมอยู่ด้วย ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
ที่ปรากฏว่า ไม่มีชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่พรรคก้าวไกลต้องการเพิ่ม
โดยคนที่จะโดนอภิปราย ประกอบด้วย 1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม 2. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข 3. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม 4. นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ 5. นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน 6 .นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ประเด็นดังกล่าว ทำให้มีการวิเคราะห์โยงไปถึงการร่วมรัฐบาล และทำให้ทางพรรคก้าวไกลออกมาตอบโต้พรรคเพื่อไทย โดยระบุถึงความไม่ชอบมาพากล ที่ไม่ปรากฏชื่อของ ร.อ.ธรรมนัส และ พลเอก ประวิตร ดังกล่าว
ต่อมา นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาทวีตข้อความระบุว่า “ถ้าทำงานการเมืองแบบเสนอความเห็นแล้วแพ้ในที่ประชุม ก็ออกมาแสดงความเห็นกับแฟนคลับ..พูดเอาดีใส่ตน ทำลายคนอื่น…อย่างนี้ทำงานร่วมกันยากครับ” จนกลายเป็นประเด็นฮือฮาในโลกออนไลน์ ว่าทั้ง 2 พรรค คือ เพื่อไทยและก้าวไกล มีความแตกหักชัดเจน
เรื่องนี้ นางสาวลักขณา ปันวิชัย หรือ คำ ผกา หรือ แขก พิธีกรชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก Lakkana Punwichai ว่า
นั่งฟาดติ่งส้มติ่งก้าวไกลแบบขำๆ กึ่งเอ็นดูนะ แต่ลึกๆ แล้วซีเรียส เพราะเห็นหายนะและอุปสรรคของการปฏิสังขรณ์ประชาธิปไตยในสังคมไทยอยู่ลิบๆ
แขกคิดว่า คนที่เดินเกมการเมืองแบบนี้อำมหิตมาก ที่เห็นแต่ชัยชนะของตัวเองจนยอมขายวิญญาณม้วนตัวกลับหลังหันไปฟาดเพื่อไทยหวังจะชนะ “พรรคเดียว”
แต่มันจะเป็นชัยชนะบนความพ่ายแพ้ของสังคมไทยและพวกเราทุกคน
การปลุกผีทักษิณ การสร้างวาทกรรม สู้ไปกราบไป การสร้าง narrative ว่าด้วยอภิมหาดีล การสร้างทวิลักษณ์ว่าด้วย การเมืองเก่า vs การเมืองใหม่
แขกใช้เวลา 20 ปี ตลอดชีวิตการเป็นนักเขียน นักวิจารณ์ของแขกเพื่อจะบอกว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป แต่เป็นกระบวนการ และไม่มีจุดสิ้นสุดในตัวของมันเอง สิ่งเดียวที่เราต้องการ คือ การเลือกตั้งอันต่อเนื่อง ซึ่งไม่เคยรับประกันว่าผลของมันจะดีหรือถูก แต่เราต้องเคารพมัน แม้เราจะเกลียดมัน
ประชาธิปไตย มันกระพร่องกระแพร่งเสมอ และพรรคการเมืองย่อมสะท้อนใบหน้าของสังคมนั้นๆ และแปลว่ามันไม่มีวันจะสมบูรณ์แบบ
ล้มเผด็จการให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาทำลายคู่แข่งในสนามเลือกตั้ง
อย่าคิดแต่เรื่องทำลายคู่แข่งด้วยต้นทุนที่สูงที่สุด นั่นคือ ต้นทุนที่ว่าด้วยการชุบชีวิตวาทกรรม คนดี vs คนเลว และหรือ คนดีที่เลือกตั้งทีไรก็แพ้ ดังนั้น ต้องทำลายพรรคการเมือง “ชั่ว” ที่มักชนะเราเวลาเลือกตั้ง
มันเป็นราคาที่แพงเกินไป!
ไม่รับปากว่าจะไม่พูดอีก ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกขยะแขยงตัวเองมากพอแล้วกับความพยายามไปคุยกับติ่งและสลิ่มเฟซสองทั้งปวง
แค่ไม่อยากให้ความโง่เขลา ถือดีนี้เป็นอาหารอันโอชะของเผด็จการ และสังคมไทยก็จะชี้นิ้วไปที่แพะตัวเดิมพร้อมๆ กับความเขลาที่หนาขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นกะลาซ้อนกะลาหนาจนคนเขาคร้านจะวิสาสะด้วย
แต่ก็นั่นแหละถ้าวันนั้นมาถึงแขกก็ไม่มีอะไรต้อง regret เพราะถือว่าได้พูดทุกอย่างแล้วในนาม “นางแบก”
สิ่งที่แขก “แบก” มากที่สุด คือ “แบก” การรื้อถอนวาทกรรม “ประชาธิปไตยของคนดี” ที่สมัยนี้เขาเรียกว่า “สู้กว่าใคร” นี่แหละ
บอกกันได้แค่นี้ที่เหลือก็กรรมใครกรรมมันค่ะ”
ขณะเดียวกัน นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ซึ่งทราบกันดีว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนายทุนให้ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thanapol Eawsakul ว่า
“ความกระจอกของพวกเดือนตุลาที่ไปทำงานให้ทักษิณ คือ การปล่อยให้ทักษิณ ไปเลือก สมัคร สุนทรเวช เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชาชน
ด้วยความคิดตื้นๆ แต่เพียงว่า จะทำให้ข้อหาล้มเจ้า ที่ฝ่ายพันธมิตรฯกล่าวหาทักษิณนั้นหายไป
(แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเพราะสุดท้ายฝ่ายเจ้าก็ถีบหัวส่งสมัครและยุบพรรคพลังประชาชนอยู่ดี)
ที่น่าผิดหวังกว่านั้น คือ คนเดือนตุลาพวกนี้ก็ไปแก้ต่างให้สมัคร ว่ามาตามกระบวนการประชาธิปไตย
แล้วพวกเขาก็ไปงานรำลึก 6 ตุลาทุกปี”
ทั้งนี้ ที่น่าย้อนให้เห็นก็คือ ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี สมัคร สุนทรเวช เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่สำคัญคือ
พ.ศ. 2519 สมัคร เคยกล่าวไว้ในรายการ สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นมีคนตายเพียงคนเดียว และคนนั้นเป็นญวนอีกด้วย ซึ่งสมัครได้ย้ำอีกครั้ง ในการให้สัมภาษณ์กับ แดน ริเวอส์ ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็น ออกอากาศเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
และยังกล่าวอีกว่า “ผมบอกว่า ถ้าผมเป็นคนเลวมาไม่ได้ไกลขนาดนี้หรอก ถ้าผมเป็นคนเกี่ยวข้องไม่ได้รับการสนับสนุนให้เดินหน้ามาถึงป่านนี้หรอก”
บทบรรณาธิการของบางกอกโพสต์ กล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ของสมัคร ว่า ไม่ได้เป็นเพียงแค่ปฏิเสธว่า ตนไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เท่านั้น เขายังปฏิเสธว่าการสังหารหมู่ไม่ได้เกิดขึ้นอีกด้วย ทั้งที่มีภาพถ่ายเป็นหลักฐานแสดงว่ามีผู้เสียชีวิตหลายคน และสมัครเองก็ทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น เนื่องจากเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกเร้าให้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ อันนำไปสู่การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์....
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน จากกรณี นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ @phumtham ถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลโจมตีพรรคเพื่อไทย ที่สกัดไม่ให้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล โพสต์ทวิตเตอร์ตอบกลับไปว่า ทางผมได้ประสานกับทาง @VoiceTVOfficial แล้ว ซึ่งทางช่องก็ตอบรับเป็นอย่างดี รอแต่เพียงคุณ @phumtham พร้อมเมื่อไร ผมยินดีที่จะไปคุยกับพี่อ้วนต่อหน้าสื่อตั้งแต่วันนี้เลยครับ เราจะได้เข้าใจตรงกันแล้วเดินหน้าทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลกันต่อไปครับ #ก้าวไกล #เพื่อไทย #อภิปรายไม่ไว้วางใจ.
แน่นอน, ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า ความขัดแย้งของสองพรรคนี้จะจบลงอย่างไร ทำงานร่วมกันในฐานะฝ่ายค้านได้หรือไม่ หรือจะทางใครทางมัน
ประเด็นที่ต้องยอมรับ ก็คือ พรรคเพื่อไทย ตั้งแต่เจ้าของพรรคลงมา ถึงสมาชิกพรรคส่วนใหญ่ ยังไม่ต้องการที่จะประกาศตัวสนับสนุนการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่ม็อบ 3 นิ้วเคลื่อนไหวอย่างเอาจริงเอาจัง
ท่ามกลางการสนับสนุนอย่างแจ้งชัดของ คณะก้าวหน้า ของ นายธนาธร และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และทั้งสอง ก็ยังมีอิทธิพลทางความคิดกับพรรคก้าวไกลด้วย และเห็นได้ชัดว่า พรรคก้าวไกล ก็สนับสนุนการ “ปฏิรูปสถาบันฯ”
นี่คือ ความแตกต่าง ที่ถือว่า สำหรับพรรคการเมืองในประเทศไทย น้อยนักที่พร้อมตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับ “สถาบันฯ” เพราะนั่นเท่ากับเป็นปฏิปักษ์กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างที่พรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองบางกลุ่มเป็นอยู่?
และถ้าจะว่าไปแล้ว นี่คือ ความฉลาดของ “คนเดือนตุลา” ที่ทำงานอยู่กับ “ทักษิณ” ต่างหาก เพราะอย่าลืมว่า ถ้าต้องการชนะเลือกตั้ง ก็ต้องสนองความต้องการของประชาชน ไม่ตัณหาตัวเอง อย่างที่คนบางกลุ่ม บางพรรคต้องการ แล้วก็แพ้เลือกตั้งให้เห็นมาตลอด
สุดท้าย แม้ว่าทั้งสองพรรคจะทำงานร่วมกันได้ จากการพูดคุยปรับความเข้าใจกัน แต่ปัญหาก็คงเกิดขึ้นอีก ตราบที่ฝ่ายหนึ่งหวังชนะเลือกตั้ง แต่อีกฝ่ายมุ่งที่จะปฏิรูปสถาบันฯอย่างเดียว
แล้วการประจานเพื่อไทยก็ไม่ได้หวังชนะเลือกตั้งพรรคเดียว อย่างที่ “คำ ผกา” ว่า เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่คนไทยจะเลือก แต่ต้องการประจานเพื่อ “ยุทธศาสตร์” ที่ต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการต่างหาก โดยนัยว่า เพื่อไทย พร้อมร่วมสังฆกรรมกับเผด็จการหรือไม่?