ยุ่งแล้ว! “รุ้ง” อ้าง “ฟ้า-เพนกวิน” ติดโควิด ย้อนไทม์ไลน์ร่วมสาดสีหน้า ตชด.ภ.1 โวยเรือนจำยื้อแจ้งผลตรวจเลี้ยงไข้เพื่อน แฉยับ อาชีวะแนวร่วม 3 นิ้ว สองกลุ่มแตกหัก “โบว์” ออกโรงเอง ชี้มีคนบางกลุ่มจงใจออกแบบม็อบรุนแรง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (16 ส.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น ก๊วนม็อบผวา!? “รุ้ง ปนัสยา” โพสต์อ้าง “ฟ้า พรหมศร-เพนกวิน” ติดโควิด ย้อนไทม์ไลน์ร่วมสาดสีหน้า ตชด.ภ.1 กับกลุ่มมวลชน
โดยระบุว่า สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 64 ที่ศาลธัญบุรี ได้อนุมัติออกหมายจับ “เพนกวิน-ฟ้า พรหมศร” ร่วมกับพวกชุมนุมสาดสีหน้า ตชด.ภ.1 โดยหมายจับนี้เกิดจากการรวมตัวเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำกลุ่มทะลุฟ้า นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ที่ถูกควบคุมตัว หน้ากองบัญชาการตำรวจชายแดนภาค 1 เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมา
ซึ่งเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ทั้ง เพนกวิน ฟ้า พรหมศร และ นายณัฐชนน ไพโรจน์ ได้เข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และวันที่ 10 ส.ค. เจ้าหน้าที่นำตัวทั้งหมดไปศาลจังหวัดธัญบุรี เพื่อขออำนาจฝากขัง
ล่าสุด เฟซบุ๊กของ รุ้ง ปนัสยา แกนนำราษฎร ได้โพสต์ข้อความ อ้างว่า ทั้ง ฟ้า พรหมศร และ เพนกวิน ติดเชื้อโควิด โดยระบุว่า
“พี่ฟ้าผลออกมาแล้วว่าติดโควิด ตอนนี้เหลือผลตรวจของเพนกวินคนเดียวที่ยังไม่ออก ราชทัณฑ์ เจ้าหน้าที่เรือนจำชั่วคราว (รังสิต) กำลังเลี้ยงไข้เพื่อนเรา!!!!! ราชทัณฑ์ต้องแจ้งผลตรวจของเพนกวินภายในวันนี้!!”
“เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ ติดโควิดขณะอยู่ในเรือนจำชั่วคราว รังสิต เคสเพนกวินน่าเป็นห่วงมากๆ เพราะมีโรคประจำตัวคือหอบหืด และยังเป็นอยู่ในปัจจุบัน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว เราไม่อาจรู้ได้เลยว่ากวิ้นจะเป็นยังไง ขณะนี้ทนายไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ และราชทัณฑ์แจ้งผลผ่านโทรศัพท์เท่านั้น ไม่ยอมออกใบแจ้งผลตรวจโควิดของเพื่อนๆ เราทุกคนให้
ราชทัณฑ์ไม่มีสิทธิเก็บหลักฐานการตรวจของเพื่อนเราไปแบบนี้ ทนายกับญาติมีสิทธิอย่างเต็มที่ที่ต้องได้หลักฐานทางสุขภาพของเพื่อนเรามาให้เห็นอย่างเป็นประจักษ์ ก่อนที่จะทำอะไรกับเพื่อนเราต่อไป!!!”
ทั้งนี้ ครั้งก่อนที่เพนกวิน อยู่ในเรือนจำ ก็ปรากฏว่า เจ้าตัวติดโควิดมาแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งไทม์ไลน์ของทั้งเพนกวิน และ ฟ้า พรหมศร ก่อนหน้าจะถูกออกหมายจับและเดินทางไปมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น เพนกวินได้ออกมาร่วมคาร์ม็อบวันที่ 1 สิงหา และได้ออกมาร่วมม็อบสาดสีหน้า ตชด.ภ.1 โดยมี ฟ้า พรหมศร มาร่วมด้วย จึงอาจเป็นไปได้ว่า ทั้งคู่ไม่ได้ติดโควิดในเรือนจำ ตามที่ รุ้ง ปนัสยา กล่าวอ้าง แต่ต้องมีการรับเชื้อมาก่อนหน้านี้ หากมีการติดเชื้อจริง อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้ทางกรมราชทัณฑ์แถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ว่า ขณะนี้มีแกนนำม็อบ 3 นิ้วคนไหนติดเชื้อโควิดบ้าง
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น “สองกลุ่มอาชีวะ” แนวร่วมม็อบ 3 นิ้ว ขัดแย้งขั้นแตกหัก พร้อมแฉยับ มือสั่งยิงหน้า SCB
โดยระบุว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 64 ที่กลุ่มผู้ชุมนุมคาร์ม็อบ ได้ประกาศชุมนุมอย่างสันติ โดยเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงปะทะ ซึ่งทางด้านขบวนกลุ่มชุมนุมทั้งหมด ได้เคลื่อนขบวนไปตามจุดต่างๆ ซึ่งไม่มีเป้าหมายที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งรู้ดีว่า เป็นจุดปะทะในทุกวัน
และในวันดังกล่าว ก็หนีไม่พ้น เมื่อกลุ่มอาชีวะ คาดว่า เป็น กลุ่มอาชีวะพิทักษ์ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกนอกเส้นทาง จนปะทะกับเจ้าหน้าที่ เหมือนไม่ได้ต้องการมาเรียกร้องสิ่งใด และไม่ได้ต้องการสันติตามที่กล่าวอ้าง
เนื่องจากล่าสุด ทางเพจเฟซบุ๊ก ฟันเฟืองประชาธิปไตย อาชีวะปกป้องประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ว่า วันนี้หน้างานพวกเราได้เห็นแล้วว่าคนที่ไม่ใช่ทีมเรา แต่เป็นอาชีวะที่มากันเองเป็นกลุ่มเป็นก้อน ไม่ฟังอะไรเลย พวกผมอยู่หน้างาน บอกให้ถอยไม่มีใครฟังเลย อุดมการณ์ของแม่งาน คือ เน้นสันติวิธี และพวกเราเคยโพสต์ไว้แล้ว ว่าการให้เกียรติแม่งานเป็นสิ่งที่สำคัญ
หากพวกคุณคิดว่าจะออกมาเท่ อยากออกมาปะทะ ไม่ต้องวันชุมนุมเลยครับ วันไหนที่ไม่มีม็อบ นัดกลุ่มของตัวเองไปทำกิจกรรมกันเองเลยจะดีกว่า เพราะแม่งานเขาเสียนะครับ ฝากไว้ให้คิด “ให้เกียรติแม่งานเป็นสิ่งที่ควรทำ ถ้าคิดจะทำตามใจออกมานำเองให้มีหมายสักหมายคงจะรู้สึกนะครับ”
หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 64 “ตั้ง อาชีวะ” หรือ เอกภพ เหลือรา ผู้ก่อตั้งกลุ่มฟันเฟืองประชาธิปไตย (Gear of Red) และเป็นผู้ปั้นกลุ่มฟันเฟืองประชาธิปไตย อาชีวะปกป้องประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ขึ้นมาเพื่อการชุมนุมรอบนี้ ได้ออกมาเปิดประเด็น กับกลุ่มอาชีวะพิทักษ์ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีแกนนำคือ “จีน อาชีวะ” และ “ม่อน อาชีวะ”
โดย ตั้ง อาชีวะ พยายามโจมตี “จีน อาชีวะ” ว่า มีการใช้ความรุนแรง โดยจี้ให้กลุ่มอาชีวะพิทักษ์ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาแถลงการณ์ขอโทษ และรับผิดชอบที่ต่อยสมาชิกของ กลุ่มฟันเฟืองประชาธิปไตย อีกทั้งยังโจมตีว่า กลุ่มอาชีวะพิทักษ์ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังจะทำให้กลุ่มอาชีวะที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยดูแย่ ครั้งนี้ถือว่า ตั้ง อาชีวะ ประกาศเปิดศึกกับ กลุ่มของ “ม่อน อาชีวะ” ชัดเจน
ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 64 แอดมินเพจฟันเฟืองประชาธิปไตย อาชีวะปกป้องประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ก็ได้โพสต์ข้อความในทำนองว่า อย่าเหมารวมว่าพวกเขาอยู่กับ “ม่อน อาชีวะ” พร้อมกับโพสต์ต่ออีกด้วยว่า
“ใช่ครับ #คนทุกคนมีอดีต พวกเราก็เคยมีอดีตครับ ในอดีตเคยมีพี่น้องเราโดนยิงที่ SCB ด้วยน้ำมือคนที่ยุยงให้น้องมาทำแล้วก็ทิ้งเค้า ให้เราพูดถึงอดีตบ้างไหมครับ #เรามีเรื่องให้ทำมากกว่าจะมานั่งขัดแย้งกับใคร อย่าผลักความขัดแย้งใดๆ ให้เราอีกเลย” เรียกได้ว่า ชัดเจนมากว่า ข้อความดังกล่าวนั้น ก็ไม่ทราบได้ว่าหมายถึงใคร
ทั้งนี้ หากยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา ขณะกลุ่มราษฎรนัดชุมนุมหน้าธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ ถ.รัชดาภิเษก หลังยุติการชุมนุม การ์ดอาชีวะมีนบุรีใช้ปืนยิงการ์ดอาชีวะปทุมธานี ได้รับบาดเจ็บ หลังเหตุการณ์สงบ “ม่อน อาชีวะ” ได้พามือยิงเข้ามอบตัวต่อตำรวจ บอกว่า เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่มีเรื่องการเมือง
จึงเป็นที่แน่ชัดว่า กลุ่มอาชีวะแยกเป็น 2 ขั้ว ระหว่าง “ฟันเฟืองประชาธิปไตย อาชีวะปกป้องประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย” กับ “กลุ่มอาชีวะพิทักษ์ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มอาจปะทะกันเอง ขณะชุมนุม เนื่องจากมีให้เห็นมาแล้วเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 64 ที่การ์ดอาชีวะ 2 กลุ่ม ซัดกันเอง แถมยังชักอาวุธปืนเข้าใส่กัน เรียกได้ว่า ม็อบในขณะนี้ถึงจุดแตกหักกันเอง และอาจนำอันตรายมาสู่ผู้ร่วมชุมนุมคนอื่นๆ ด้วย
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ยังมีกรณี โบว์ ออกโรงแฉคนบางกลุ่ม จงใจออกแบบม็อบหวังปะทะซ้ำๆ สะสมความโกรธ ยกระดับเป็นจลาจล!?
โดยระบุว่า ทวิตเตอร์ เจ๊จุก คลองสาม ได้โพสต์ข้อความถึงการเคลื่อนไหวของม็อบสามกีบที่ผ่านมา ว่า มีการตั้งใจที่จะทำให้เกิดเหตุปะทะกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยระบุข้อความว่า
กลยุทธ์ใหม่! อ้างทำกิจกรรมทุกวันตอนช่วงบ่ายๆ 2-3 ชม. แล้วก็ประกาศยุติ ปล่อยให้พวกฮาร์ดคอร์ที่อารมณ์ค้างมาปะทะกับตำรวจ ก่อเหตุวุ่นวายในบ้านเมือง สร้างภาพเยาวชนถูกจับกุม โดนรังแก ตร.ทำรุนแรง คิดหรือว่าเค้ามองกันไม่ออกน่ะ ถามจริง??? ขนาดคนบ้านๆ แบบเจ๊ยังมองออกเลย
และในการชุมนุมเมื่อวานนี้ ก็ยังได้เกิดเหตุปะทะระหว่างผู้ชุมนุมด้วยกันเอง ซึ่งคาดว่า น่าจะเป็นกลุ่มการ์ดอาชีวะ ที่มีการปะทะกัน และผู้ชุมนุมหนึ่งในนั้น ได้มีการพกอาวุธปืนเข้าร่วมชุมนุมด้วย นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังจับกุมวัยรุ่นชาย 3 คนพร้อมรถจักรยานยนต์ 1 คัน และเมื่อตรวจค้น ก็พบอาวุธปืน 1 กระบอก พร้อมกระสุน 2 นัด และมีมีดพกอีก 1 เล่ม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในการชุมนุมที่ผ่านมานั้น ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการพกพาอาวุธเข้ามาในพื้นที่ชุมนุมแทบจะทุกครั้ง และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายได้รับบาดเจ็บ
ล่าสุด น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ถึงกรณีดังกล่าวด้วยว่า
คนบางกลุ่มที่จงใจออกแบบกิจกรรมสุ่มเสี่ยงหวังผลให้เกิดการปะทะซ้ำๆ เขาเจตนาให้เกิดสถานการณ์ที่สะสมความโกรธแค้นของมวลชน จนยกระดับเป็นการจลาจลเองได้โดยไม่ต้องมีใครนำอยู่แล้ว แล้วฝ่ายรัฐก็รับลูกรับมือแบบเดิมซ้ำๆ เร่งปฏิกิริยาจนมันเกิดขึ้นจริงๆ นายกฯผู้มีอำนาจเต็มคนเดียวต้องรับผิดชอบแล้ว
และยังโพสต์ข้อความต่อด้วยว่า ถึงขั้นนี้ หลายเรื่องทับถมกัน ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ให้อำนาจเต็มกับนายกฯ ยึดอำนาจบริหารสถานการณ์ฯจากคณะรัฐมนตรีมาเกือบปีครึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ คงต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกค่ะ อย่างอื่นมันสายเกินไปแล้ว อย่าให้บานปลายไปมากกว่านี้เลย
แน่นอน, ทั้งสามเรื่องมีความสำคัญและมีผลกระทบสูงต่อสังคมไทยในขณะนี้
เริ่มจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนเป็นห่วงมาตลอดว่า จะเกิด “คลัสเตอร์” จากม็อบ เพราะเป็นการชุมนุมที่สุ่มเสี่ยงอย่างมากทั้งการติดเชื้อและแพร่เชื้อ แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งการจัดม็อบได้ และนับวัน จะบานปลายขยายผลไปทั่วประเทศด้วย
และกรณีถ้าหากกวิ้น และฟ้า ติดโควิดจริง ก็เท่ากับเป็นการยืนยันว่า มีโอกาสติดเชื้อจากม็อบด้วย เพราะไทม์ไลน์ใกล้เคียงกันระหว่างร่วมม็อบก่อนเข้าไปอยู่เรือนจำ
ลองคิดดู ถ้ามีการแพร่เชื้อเกิดขึ้น ใครบ้างที่จะเอาเชื้อกลับบ้าน
เรื่องความขัดแย้งของกลุ่มการ์ดอาชีวะสองกลุ่ม ที่พร้อมปะทะกันรุนแรง สิ่งที่ตามมาก็คือ การโดนลูกหลงของผู้บริสุทธิ์ ภายในม็อบ เรื่องนี้กลายเป็นมวลชนที่จะต้องเสี่ยงทุกด้าน และเอาชีวิตเข้าแลก ไม่แต่เฉพาะเพื่อต่อสู้ตามอุดมการณ์ หากแต่ยังเสี่ยงโรค เสี่ยงลูกหลงในขณะเดียวกันด้วย
เรื่อง อาจมีคนบางกลุ่มจงใจออกแบบความรุนแรง หวังผลให้เกิดการปะทะซ้ำๆ เจตนาให้เกิดสถานการณ์ที่สะสมความโกรธแค้นของมวลชน จนยกระดับเป็นการจลาจล
เรื่องนี้น่าคิด และน่าสนใจอย่างมาก เพราะถ้าสังเกตให้ดี ม็อบรุนแรงจะเกิดขึ้นหลังแกนนำประกาศยุติการชุมนุมก่อนทุกครั้ง นั่นเท่ากับว่า จงใจที่จะไม่รับผิดชอบ และจงใจที่จะให้เกิดคู่กรณีระหว่างเจ้าหน้าที่กับม็อบ เพื่อประจานความรุนแรงของเจ้าที่รัฐ ซึ่งถ้าปล่อยนานไป ก็จะกลายเป็นสงครามกลางเมือง จากย่อมไปหาใหญ่ ที่กลุ่มอาชีวะ ถนัดอยู่แล้ว ไม่แน่ในที่สุดก็อาจเกิดจลาจลขึ้นจริงๆ จนอำนาจรัฐไม่อาจรับมือได้ และเรื่องเล็กก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ อย่างที่กลุ่มคนเบื้องหลังต้องการทันที
เหนืออื่นใด คนที่เดือดร้อนแสนสาหัสตามมาก็คือ คนไทยนั่นเอง และยังเป็นคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศที่ลำบากยากจนด้วย ไม่เชื่อคอยดู!!!