เมืองไทย 360 องศา
ภาพชัดขึ้นมาทันที หลังจากได้เห็น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง ที่เคยได้ดิบได้ดีในยุคเครือข่าย นายทักษิณ ชินวัตร ครองเมือง ประกาศตัวนำม็อบ ที่ล่าสุดมีการแปรสภาพกลายเป็น “คาร์ม็อบ” รวมตัวป่วนพร้อมกันในหลายจุดทั่วประเทศ ว่า งานนี้มันไม่ใช่ “ม็อบสามนิ้ว” แบบเดิมแล้ว แต่เป็น “ม็อบกลายพันธุ์” ที่พ่วงเป้าหมายนำ “พ่อแม้ว” หรือในชื่อใหม่เป็นฝรั่งว่า “โทนี่” กลับบ้านแบบไม่ต้องติดคุก
แน่นอนว่า หากโฟกัสไปที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ มันก็ย่อมเชื่อมโยงไปถึงเครือข่ายดังกล่าวได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มมวลชน “คนเสื้อแดง” ที่ยังเหลืออยู่ และกลุ่มที่มวลชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงแนวร่วมที่มีอยู่ในเวลานี้
และหากโฟกัสไปที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในช่วงเวลาแบบนี้ มันก็เหมือนกับการ “รับไม้ต่อ” จาก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่เพิ่งติดคุกในคดีหมิ่นประมาท นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้ว่าจะเพิ่งได้รับการพระราชทานอภัยโทษ จะพ้นโทษออกมาในเดือนนี้ก็ตาม แต่เมื่อคาดว่าเมื่อมีรายการ “ดีล” เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องเดินหน้าต่อไป
ที่ผ่านมา หลายคนเริ่มมีความสงสัยว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ได้แนบแน่นกับครอบครัวของ นายทักษิณ ชินวัตร เหมือนเดิม หลังจากมี “แยกทาง” จากกรณีผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีการ “สาวไส้” กันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะคำพูดของนายจตุพร ที่มีการพูดถึง “เจ๊” บางคนที่เชียงใหม่ ว่า มีลักษณะ “อัปรีย์” กันเลยทีเดียว แม้ไม่เอ่ยชื่อ แต่ในทางการเมืองย่อมรู้กันดี
แต่ขณะเดียวกัน สำหรับการเมืองแล้ว บางที “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” และที่ผ่านมา นายจตุพร ก็เหมือนกับการ “รับงานจ็อบ” จากพรรคเพื่อชาติ มาถึงขึ้นเวทีสนับสนุนผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ ฝ่ายตรงข้ามกับ “นายใหญ่” หลายคนก็คาดเดาว่า เส้นทางของเขาคงไม่อาจบรรจบกันได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดม็อบที่ตั้งชื่อว่า “กลุ่มไทยไม่ทนสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย” ที่นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับข่าวการปิดตัวของ “พีซทีวี” ที่ “แบกหนี้ต่อไปไม่ไหว” ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยถึงที่มาที่ไป เพราะในการจัดม็อบแต่ละครั้ง ย่อมต้อง “มีค่าใช้จ่าย”
ขณะเดียวกัน หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าในช่วงเวลาแบบนี้ สังคมก็จะเริ่มเห็นหน้าของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาเคลื่อนไหวในสื่อโซเชียลฯ ในกลุ่ม “คลับเฮาส์” ของ กลุ่มแคร์ ซึ่งก็ล้วนเป็นอดีตลูกน้องเก่า โดย นายทักษิณ เคลื่อนไหวแบบถี่ยิบผิดสังเกต มีการ “หยั่งเชิง” ที่น่าจับตาก็คือ “ประกาศกลับไทย (อีกแล้ว)” โดยยืนยันว่า กลับแน่ เพียงแต่ไม่บอกว่าจะกลับเมื่อไหร่ โดยย้ำว่า “จะกลับมาทางประตูหน้า” ในความหมายก็คือ “มาแบบเปิดเผย” ซึ่งต่างกับขาไปที่อ้างว่าไปชมกีฬาโอลิมปิก แล้วก็หนีหายไม่กลับมาจนถึงวันนี้
หลายคนจึงมีความพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่า “ม็อบของจตุพร” กับ “การเคลื่อนไหวของโทนี่” โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวทั้งโหมโจมตีรัฐบาล โดยเฉพาะพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี น่าจะ “เกี่ยวข้องกัน” เพียงแต่ว่ามีการคาดเดากันไปต่างๆ นานา ว่า “เกี่ยวกันแบบไหน” อย่างไร เท่านั้นเอง
ขณะที่ “กลุ่มสามนิ้ว” แม้ว่าจะเคลื่อนไหวมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเป้าหมายทะลุเพดาน และจะด้วยรูปแบบการเคลื่อนไหวของแกนนำเด็กๆ ที่ไม่มีแนวร่วมเพิ่มขึ้น มีแต่สะสมคดี ทุกอย่างถึงถดถอย มีแต่ความกราดเกรี้ยว คึกคักกันอยู่ในภายในกลุ่มในโลกโซเชียลฯ ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า การเกิดขึ้นของกลุ่ม “ไทยไม่ทน” และม็อบของนายจตุพร ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ มันก็เหมือนกับการ มา “ฮุบม็อบสามนิ้ว” นั่นแหละ และกำลังหลักของม็อบดังกล่าว หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าส่วนใหญ่จะเป็นมวลชนคนเสื้อแดง ในปีที่เหลืออยู่ และกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ส่วนพวกเด็กๆ ที่ใช้สัญลักษณ์สามนิ้วจะเป็นลักษณะแนวร่วม
อย่างไรก็ดี จุดที่ทำให้เกิดความพลิกผันไปอีกครั้ง ก็คือ หลังจากที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ต้องคำพิพากษาในคดีหมิ่นประมาทดังกล่าวทำให้ถูกนับวันจำคุกเพิ่มเติม ถูกนำตัวเข้าเรือนจำ ทำให้ได้เห็นการเคลื่อนไหวแบบ “รับไม้” ของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมไปถึงการจัดม็อบแบบอีเวนต์ กลายมาเป็นลักษณะของ “คาร์ม็อบ” ที่มีนายสมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นแกนหลัก มันก็ยิ่งเห็นภาพเชื่อมโยงกันชัดเจนว่า งานนี้เป็น “ม็อบสามนิ้วกลายพันธุ์” ที่แกนหลักกลายมาเป็น “ม็อบทักษิณ” ไปแล้ว ขณะที่พวก “สามนิ้ว” ถูกจัดลำดับอยู่ด้านหลัง
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เป้าหมายของพวกม็อบกลายพันธุ์ ที่กำลังจัดการเคลื่อนไหวใหม่ แบบ “คาร์ม็อบ” มีเป้าหมายหลักเพื่อถล่ม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ลาออก แต่การใช้วิธีการแบบ “ม็อบถ่อยเถื่อน” มันจะได้ผลหรือไม่ เพราะเมื่อมีเจตนายั่วยุให้ปราบรุนแรง แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่หลงกล ขณะที่สังคมเริ่มมีอารมณ์ ไม่พอใจม็อบมากขึ้นเช่นกัน เพราะในภาวะโรคระบาด มันเหมือนกับเป็นการ “เอาเปรียบ” คนอื่นที่ต้องทนอยู่ในกรอบตามมาตรการ ขณะที่บางกลุ่มมีเจตนา “หาเรื่อง” สร้างภาพ “อนาธิปไตย” มันจะสร้างแรงกดดันได้จริงหรือไม่ !!