รุนแรงได้ใจ! “ปิยบุตร” ปลุกข้ามทวีป “ปฏิรูปแบบปฏิวัติ” เงื่อนไขทะลุเพดานอย่างต่ำ รอแค่สุกงอม “หมอวรงค์” ซัดกลับ ฝันไปเถอะ! อย่าด้อยค่าพลังเงียบ “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ฝากคนชักใย ความอดทนคนไทยมีขีดจำกัด
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (2 ส.ค. 64) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ขณะนี้อยู่กับภรรยาที่ฝรั่งเศส โพสต์เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ว่า
ปฏิรูปแบบปฏิวัติ ทำข้อเสนอให้ราดิคัลที่สุด ก้าวหน้าที่สุด ไต่เพดานให้มากที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ ภายใต้ระบอบที่เป็นอยู่
พร้อมกับยืนยัน ยกระดับให้ข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอขั้นต่ำที่เราจะไม่ถอยไปมากกว่านี้
หากข้อเสนอนี้ไม่ได้รับการสนองตอบ สถานการณ์จะสุกงอมจนลื่นไถลให้ปฏิรูปกลายเป็นปฏิวัติ
นี่คือ “ปฏิรูปแบบปฏิวัติ”
ขณะ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า
“#ฝันไปเถอะ ช่วงนี้พวกแกนนำ พยายามเสนอรูปแบบ การปฏิวัติถี่ขึ้น นายอานนท์ (นำภา) ใช้คำว่า “ประชาชนจะสถาปนารัฐใหม่ขึ้นมา รัฐที่ทุกคนเป็นเจ้าของอย่างเท่าเทียมกัน“
ส่วน นายปิยบุตร โพสต์จากฝรั่งเศส “หากข้อเสนอนี้ไม่ได้รับการสนองตอบ สถานการณ์จะสุกงอม จนลื่นไถลให้ปฏิรูปกลายเป็นปฏิวัติ”
ผมคิดว่า พวกคุณนี้เพ้อเจ้อจริงๆ ถ้าสังคมไทยมีการกดขี่ รังแก ใช้อำนาจไม่ชอบ มันก็จะเกิดเหตุการณ์อย่างที่คุณพูดได้ เช่น พี่น้อง กปปส.ออกมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์
แต่ในความเป็นจริงวันนี้ ภาพของม็อบดูเป็นพวกป่วนเมือง แพร่เชื้อโควิด ประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่เอาด้วย ที่สำคัญ รัฐบาลชุดนี้ ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่กล่าวหา กลับดูหน่อมแน้ม เสียอีก
ยิ่งแปลกใจ ที่พวกคุณเอา อดีตรัฐมนตรีจำนำข้าว มาร่วมเป็นแกนนำด้วย ก็ยิ่งพอคาดเดาได้ว่า พวกคุณต้องการประเทศไทย ที่เป็นรัฐไทยใหม่แบบไหน
นั่นคือนักการเมืองโกงได้ โดยไม่ต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ จะได้โกงได้เต็มที่ ผมขอบอกตรงๆ ว่า “ฝันไปเถอะ” ขอย้ำว่า อย่าด้อยค่าพลังเงียบ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า เมื่อวาน คาร์ม็อบวุ่นวายทั้ง กทม. รถติดวินาศสันตะโร รัฐบาลล็อกดาวน์ได้เฉพาะคนดี คนที่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ม็อบไม่สนล็อกดาวน์ ม็อบไม่ร่วมมือ คนติดเชื้อโควิดเยอะขึ้น อย่าไปด่ารัฐบาล เพราะม็อบเป็นตัวการช่วยแพร่เชื้อ
ม็อบไล่นายกฯตู่ นับวันยิ่งรุนแรง ยิ่งวุ่นวาย แล้วก็มีการปะทะระหว่างม็อบกับตำรวจ แกนนำสลายการชุมนุม แต่มวลชนใช้ความรุนแรงโดยแกนนำไม่ต้องรับผิดชอบ
ม็อบสร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนว่าจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อ ขัดขวางสิทธิของคนอื่นในการใช้รถใช้ถนน คาร์ม็อบได้กลายเป็นพวกเด็กแว้น ที่ก่อความรำคาญและอึดอัดให้กับประชาชน ลดค่าของการชุมนุนแสดงออกทางการเมือง
น่าสนใจว่า คาร์ม็อบคราวนี้ คนที่พูดว่า เผาเลยผมรับผิดชอบ มาร่วมกลุ่มกับสามนิ้ว รวมทั้งนักการเมืองอีกหลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา หรือ คนสั่ง คนจ่ายเงินเป็นคนเดียวกัน ม็อบไม่กลัวที่จะทำผิดกฎหมาย ไม่กลัวเชื้อโควิด กระบวนยุติธรรมล่าช้า ไม่ทันการณ์
ถ้ามั่นใจว่า ลุงตู่บริหารผิดพลาด เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเลย หรือมีหลักฐานว่าโกงกิน ใครโกงวัคซีน ใครยักยอกวัคซีนไปฉีดให้วีไอพี เอาเลยยุให้ฟ้อง โควิดระบาดไม่ใช่ไทยที่เดียว ระบาดหนักทั่วโลก แต่ไม่มีผู้นำประเทศไหนลาออกหรือยอมตามม็อบ
น่าเป็นห่วง และบอกดังๆ ในม็อบ มีป้ายโจมตีสถาบันชัดเจน นี่ไม่ใช่การชุมนุมไล่ลุงตู่ ทำอย่างนี้ ประชาชนไม่พอใจม็อบ คนไทยก็มีความอดทนจำกัด ไม่รู้ว่าความอดทนของคนที่รักลุงตู่ กปปส. คนเสื้อเหลืองอยู่ตรงจุดไหน จะมีม็อบชนม็อบมั้ย หรือคนวางแผน อยากให้เกิดม็อบชนม็อบ
เสรีภาพในการชุมนุมต้องไม่กระทบเสรีภาพของคนอื่น เพราะม็อบมั่นใจได้อย่างไรว่า คนมาม็อบไม่ติดเชื้อและแพร่ให้คนอื่น
การเมืองไทยอยู่ในวังวนขัดแย้ง โดยนักการเมือง นักธุรกิจการเมือง คนอยากได้อำนาจหนุนหลังม็อบ หวังได้อำนาจรัฐล้มล้างความผิดในอดีตของตัวเอง.
นอกจากนี้ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. พร้อมคนเสื้อแดง ร่วมจัดขบวนคาร์ม็อบ เมื่อวานนี้ (1 ส.ค. 64) ที่น่าสนใจระบุว่า
“...ในสมัยที่ตนเคยร่วมชุมนุมกลุ่ม นปช. นายณัฐวุฒิ เองมิใช่หรือที่มีการสั่งให้เผาบ้านเผาเมือง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมานายณัฐวุฒิ ประกาศจะรับผิดชอบเอง คราวนี้คิดจะเผาบ้านเผาเมืองรอบสองให้หายนะอีกครั้งใช่ไหม
นายณัฐวุฒิ มาเป็นแกนนำม็อบ 3 นิ้วครั้งนี้ คงสนุกแน่ คราวนี้ประเทศคงลุกเป็นไฟหนักยิ่งกว่าเดิม เพราะสไตล์การปลุกระดมที่รุนแรงของนายณัฐวุฒิ บวกกับการเคลื่อนไหวของม็อบ 3 นิ้ว อาจจะเกิดเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงหนักยิ่งขึ้น เหมือนเหตุการณ์เมื่อวาน
เริ่มจากใช้ระเบิดที่ผลิตขึ้นมาเอง ระเบิดไฟ ระเบิดปิงปอง หนังสติ๊กลูกเหล็ก ถล่มโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเมามัน ยังมีอาวุธมากมายหลายชนิด เล่นงานเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา เพื่อต้องการยั่วยุให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง ปฏิบัติการเย้ยฟ้าท้าดิน อย่างไม่คิดเกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ในขณะที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤตโควิด กลับไม่มีจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ไม่ได้สงสาร ห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเลยสักนิด คิดแต่จะล้มนายกฯ อยากมีอำนาจ และปฏิรูปสถาบันให้ได้
ยิ่ง นายณัฐวุฒิ มาเป็นแกนนำ อาจจะยิ่งรุนแรงหนักขึ้นแน่ ตนคิดว่า เป้าหมายคือ ต้องการจลาจลกลางเมืองเพื่อให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประธานาธิบดี และเป้าหมายเอานายทักษิณนายใหญ่ของนายณัฐวุฒิ ให้พ้นคดีทุจริตและนำกลับประเทศให้ได้...”
แน่นอน, ประเด็นเริ่มชัดขึ้น เมื่อดูจากโพสต์ของนายปิยบุตร หลังจากก่อนหน้านี้ ก็เคยมีการนำเสนอทำนองนี้ แต่ไม่ชัดเหมือนครั้งนี้ เพราะอาจจะต้องตีความร่วมด้วย หากแต่ครั้งนี้แทบไม่ต้องตีความ เพียงแต่ไม่ได้บอกว่า ปฏิรูปใคร ปฏิวัติใครเท่านั้น ซึ่งคนไทยต่างรู้กันหมดแล้ว
ยิ่งกว่านั้น ยังชัดเจนว่า พวกเขาจะเคลื่อนไหว “ม็อบ 3 นิ้ว” ต่อรอง “ปฏิรูปสถาบันฯ” ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้จากระบอบที่มีอยู่ เป็นอย่างต่ำ หรือ ถ้าไม่ปฏิรูป ก็อาจต้อง “ปฏิวัติ”
มาถึงตรงนี้ ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ให้นึกถึง ข้อเรียกร้องการลดบทบาทของ สถาบันฯลง 10 ข้อ (ตามที่สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ลี้ภัยล้มเจ้าเคยเสนอไว้) รวมทั้ง แก้ ม.112 ให้เป็นกฎหมายที่มีโทษต่ำ หรือเท่ากับคดีหมิ่นสถาบันที่แกนนำ 3 นิ้ว ถูกฟ้องในศาลก็จะโทษเบาหวิวไปด้วย
ยิ่งกว่านั้นคือ เสนอให้ยกเลิกไปเลย นี่คือ คำว่า ทำข้อเสนอให้ได้มากที่สุด ในระบอบที่เป็นอยู่ ซึ่งก็คือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั่นเอง
และหากไม่ตอบสนอง ก็จะปฏิวัติล้มล้างไปเลย
อย่างนี้ คงไม่ต้องมาแก้ตัวอีกแล้วว่า ไม่ต้องการ “ล้มเจ้า” หรือ ไม่มีเป้าหมาย “ล้มเจ้า”???
อีกอย่างที่น่าคิด คือ การพบกันระหว่าง จรัล ดิษฐาอภิชัย ประธานสมาคมนักประชาธิปไตยชาวไทยไร้พรมแดน ผู้ลี้ภัยการเมืองในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้คลั่งไคล้ “สาธารณรัฐ” ของ “ปิยบุตร” ย่อมมีอะไรที่มากกว่าการเยี่ยมเยือน จน “ปิยบุตร” มีข้อเสนอดังกล่าวหรือไม่
พูดถึง “ม็อบ 3 นิ้ว” ดูเหมือนไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว นอกจากทำให้มันรุนแรงไปเลย ยิ่งได้ “ณัฐวุฒิ” มานำขบวน ก็ยิ่งชัดเจนว่า ต่อไปนี้จะไม่ใช่ม็อบ “มุ้งมิ้ง” อีกต่อไป จนพวก “อีแอบ” ทั้งหลายดี๊ด๊า ฝากความหวังได้ และเริ่มเห็นสถานการณ์สุกงอม อยู่อีกไม่ไกล?
เมื่อมีสัญญาณออกมาชัดแจ้งอย่างนี้แล้ว รัฐบาลจะปล่อยให้กฎหมายทำงานเพียงอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะนั่นคือ การตั้งรับเพื่อที่จะรอสถานการณ์สุกงอมเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ถ้าคนไทยจำนวนมากไม่ทน และไม่สนใจรัฐบาล หรือ เจ้าหน้าที่รัฐเหมือนกัน อะไรจะเกิดขึ้น
ม็อบชนม็อบ ปราบปรามอย่างรุนแรง ก็ยิ่งเข้าทางกลุ่มที่ต้องการให้เกิดความรุนแรง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง แล้วจะยังยืนหยัดใช้กฎหมายเท่านั้น ถึงวันหนึ่ง กฎหมายก็ไม่มีใครกลัวแล้ว อย่าว่าแต่ถึงวันนั้นเลย วันนี้พวกม็อบ 3 นิ้วเขาก็ไม่กลัวแล้ว
แล้วชะตากรรมของคนไทยเล่า นึกไม่ออกว่าจะเป็นหญ้าแพรกแหลกลาญแค่ไหน คิดดู!!!