วันนั้นกับวันนี้ ต่างราวฟ้าดี “ชูวิทย์” ร่ายเป็นเหตุเป็นผลเปรียบเทียบ สุดท้ายรับมือโควิดไม่ได้.. คนไทยรับกรรม “อดีตรองอธิการ มธ.” ชี้ จุดผิดพลาดรัฐบาล “3 ข้อ” นำมาสู่ความเพลี่ยงพล้ำ เข้าทางกลุ่มขับไล่ขยายผลโจมตี
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (22 ก.ค. 64) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง และนักธุรกิจกลางคืนชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“วันนั้น กับ วันนี้
วันนั้น ดูข่าวโควิดที่อินเดียแล้วนึกไม่ถึงว่า
วันนี้ ประเทศไทยจะมีสภาพไม่แตกต่าง
วันนั้น เรายังไม่รู้ตัว
วันนี้ นรกมาเยือนจริงๆ
วันนั้น อินเดียจัดการศพไม่ทัน จนต้องเผากันริมทาง
วันนี้ ใกล้ได้เห็นคนไทยถูกเผากันข้างถนน เพราะ วัด เมรุ รับเผาศพไม่ไหว
วันนั้น นายกฯ ประกาศเปิดประเทศภายใน 120 วัน
วันนี้ โควิดกลับระบาดหนัก จนทำท่าจะต้องปิดประเทศภายในไม่กี่วัน
วันนั้น นายกฯ แถลงข่าวอารมณ์ดี เทียบเคียงเพลงฝรั่ง ให้คนงานก่อสร้างกลับบ้านต่างจังหวัด
วันนี้ คนงานพาเชื้อโควิดแพร่กระจายระบาดใหญ่ไปทั่วประเทศ
วันนั้น ประกาศทำท่าอ้าแขนรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศที่ภูเก็ต
วันนี้ ยุโรปกลับประกาศปลดไทยจากประเทศปลอดภัยเรื่องโควิด
วันนั้น ประกาศว่าจะทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดปีนี้เป็น 0
วันนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มถึงวันละ 13,000 คน ตายเป็นร้อย
วันนั้น ประกาศว่าปีนี้วัคซีนจะเข้ามาเป็นร้อยล้านโดส
วันนี้ เกินกลางปีแล้ว ประชาชนยังต้องแห่ต่อคิวยาว ถูกเลื่อนฉีดวัคซีนครั้งแล้วครั้งเล่า
วันนั้น บอกประเทศไม่ยากจน ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมโครงการ COVAX ขององค์กรอนามัยโลก
วันนี้ ขอโทษประชาชน เตรียมเข้าร่วมโครงการ เพื่อรอรับวัคซีนบริจาค
วันนั้น บอกว่าจะไม่มีใครต้องนอนตายที่บ้าน
วันนี้ คนไทยมานอนตายริมถนน
วันนั้น ตัวเลขต่ำ คิดว่าไม่มีปัญหา บอกว่าระบบสาธารณสุขไทยดีที่สุดในเอเชีย
วันนี้ ระบบสาธารณสุขไทยกำลังล่มสลาย โรงพยาบาลรามาฯ ธรรมศาสตร์ฯ ประกาศงดรับผู้ป่วยเพิ่ม เพราะล้นจนรับมือไม่ไหว
วันนั้น สุเทพ และมวลมหาประชาชน เปิดทางเชิญประยุทธ์ยึดอำนาจเป็นนายกฯ
วันนี้ ประยุทธ์ถูกประชาชนไล่เช้าไล่เย็นให้ลาออก
รัฐบาลยิ่งพูด คนยิ่งไม่เชื่อ
วันนั้น กับ วันนี้ มันช่างต่างกันเหลือเกิน เพราะ
วันนั้น รัฐบาลไม่เตรียมการรับมือกับโควิด
วันนี้ คนไทยจึงต้องรับกรรม”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ของ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความระบุว่า
“เมื่อวานได้ดูการแถลงเรื่องการจัดหาวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจริงๆ ก็มีคำถามอยู่ในใจนานแล้วว่า ทำไมจึงไม่มีการชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องวัคซีนให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที แต่เมื่อแถลงเข้าจริง และดูจากปฏิกิริยาที่สะท้อนอยู่บนสื่อต่างๆ โดยเฉพาะใน social media ฝั่งที่จ้องหามุมโจมตีรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา ก็รู้สึกว่ารัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขพลาดเสียแล้ว
ประการแรก การชี้แจงทำช้าเกินไป ปล่อยให้มีการปั่นกระแสกันจนคนจำนวนมากเชื่อไปแล้วว่า จัดหาวัคซีนช้า ไม่เห็นความสำคัญของชีวิตประชาชน รอจนเกิดวิกฤตแล้วค่อยเริ่มหาซื้อวัคซีนเมื่อต้นปีนี้เอง รัฐบาลควรชี้แจงเรื่องนี้เป็นระยะ ให้ประชาชนได้ทราบความคืบหน้าตลอด ที่ ศคบ. แถลงอยู่ทุกวัน เป็นการแถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แทบจะไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีนเลย มาถึงขณะนี้จึงยากขึ้นมากที่จะเปลี่ยนความเชื่อของคนที่มีอคติต่อรัฐบาลอยู่แล้ว
ประการที่ 2 การแถลง แม้จะมีบุคคลที่ลงมือทำจริง และเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสำคัญในกระทรวงสาธารณสุข และมีบทบาทสำคัญในการจัดหาวัคซีนทั้งสิ้น แต่ก็ทำได้ไม่ชัดเจนพอ ไม่หนักแน่นพอ ไม่ได้เตรียมการโดยมืออาชีพ แต่ทำเหมือนกับเป็นการแถลงประจำวันแบบราชการ
ประการที่ 3 เข้าใจความรู้สึกของท่านผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ นพ.นคร เปรมศรี ที่กล่าวคำว่า “ขออภัย” ถึง 2 ครั้ง ความจริงแล้วเป็นการกล่าวขออภัย เนื่องจากสถานการณ์ปรากฏชัดว่า ขณะนี้จำนวนวัคซีนมีไม่เพียงพอกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ขณะนี้ ประชาชนที่จองฉีดวัคซีนต้องถูกเลื่อนวันเป็นจำนวนมาก ทำให้มีความไม่พอใจเกิดขึ้นอย่างมาก
เมื่อกล่าวคำว่า “ขออภัย” แม้จากความจริงใจ แต่โดยทันทีก็มีคนนำคำคำนี้ไปปั่นขยายผลใน socail media รวมทั้งผู้จัดรายการในสื่อหลักบางสื่อ ที่อาจไม่ได้ฟังการแถลงตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะในบริบทของการแถลง ผู้แถลงทุกท่านได้ให้ข้อมูลว่า ได้มีความพยายามเจรจาจัดหาวัคซีนกันมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ตั้งแต่เริ่มจัดตั้ง COVAX
อธิบายว่า ได้เจรจาทั้งกับ COVAX ซึ่งถึงแม้ไม่ได้เข้าร่วม แต่ก็ยังคงเจรจาอยู่ในขณะนี้ และทั้งเจรจากับบริษัทผู้ที่กำลังพัฒนาวัคซีนโดยตรงหลายบริษัท ซึ่ง Astra Zeneca ก็เป็นหนึ่งในบริษัทเหล่านั้น ในขณะนั้นทุกบริษัทอยู่ในช่วงของการทดลองทั้งหมด จึงยังไม่ทราบว่า บริษัทใดจะสำเร็จ แต่น่าเสียดายว่า ท่านไม่ได้แถลงว่า ผลการเจรจากับบริษัทเหล่านี้ แต่ละบริษัทเป็นอย่างไร ตั้งเงื่อนไขอย่างไร เพราะอะไรจึงไม่ตัดสินใจเสี่ยงจองไว้ตั้งแต่ยังพัฒนาไม่สำเร็จ โดยเฉพาะบริษัท Pfizer ผู้ผลิตวัคซีน "เทพ" และควรเน้นย้ำว่าหากเข้าร่วมกับ COVAX ก็ไม่แน่ว่าจะได้วัคซีน Pfizer และได้เร็วกว่านี้
โดยสรุป ท่านผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และผู้ที่แถลงทุกท่าน ยืนยันว่า ไม่ได้ดำเนินการล่าช้า และได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ยังไม่ทันกับการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นระลอกใหม่ และมีท่านผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติท่านเดียวที่กล่าวคำว่า “ขออภัย” เป็นคำขออภัยในบริบทดังกล่าว
แต่ผู้ที่จ้องหามุมโจมตีอยู่แล้ว จงใจแปลความว่า การกล่าวคำว่า “ขออภัย” เป็นการสารภาพบาปว่า ได้ทำผิดไปแล้ว แล้วจึงโหมเรื่องนี้อย่างหนัก บางคนถึงกับไปบิดว่า หากเข้าร่วมกับ COVAX คนไทยคงไม่ตายเป็น “ผักเป็นปลา” ขนาดนี้ คนที่ไม่ได้ติดตามฟังการแถลงทั้งหมดเห็นการโพสต์แบบนี้แล้วก็จะเข้าใจไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ
อย่างที่เคยเขียนหลายครั้งก่อนหน้านี้ว่า มองด้วยความเป็นธรรม การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานหลังจากที่ทราบผลที่เกิดขึ้นแล้ว ว่าทำไมไม่ทำอย่างโน้นอย่างนี้ ใครๆ ก็พูดได้ แต่ถ้าผู้วิจารณ์และโจมตี เป็นผู้ตัดสินใจเอง ด้วยข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนั้น และในสถานการณ์ขณะนั้น การตัดสินใจอาจไม่แตกต่างจากที่ตัวเองวิพากษ์วิจารณ์ก็ได้
นายกรัฐมนตรี ควรจะต้องสร้างทีมงานประชาสัมพันธ์เรื่องการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ใหม่โดยเร็ว ไม่ต้องตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ แต่จ้างคนที่มีฝีมือจริงๆ จากภาคเอกชน แล้วให้เขาเลือกทีมงานของเขาเอง ยอมจ่ายเงินลงทุนเรื่องนี้เสียทีเถิด หากเลือกคนได้เหมาะสมจริง ปัญหาเหล่านี้จะน้อยลงมาก ขอให้เชื่อเถิดครับ”
แน่นอน, ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ “ชูวิทย์” สะท้อนให้เห็น ก็คือ ความจริงอันผิวเผิน ที่คนไทยโดยทั่วไปได้รับรู้ผ่านสื่อ ทั้งกระแสหลัก และสื่อสังคมออนไลน์ ถามว่า เป็นความผิดของรัฐบาลทั้งหมดหรือไม่ คำตอบที่แทบไม่ต้องคิด คือไม่ ถามว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบหรือไม่ คำตอบคือ ต้องรับผิดชอบทั้งหมด เพราะมีอำนาจรัฐในการแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ ส่วนที่ทำได้ไม่เต็มที่ตรงจุดไหน นั่นคือ ข้อผิดพลาด
อะไรทำให้เชื่อว่า ไม่ใช่ข้อบกพร่อง และความผิดรัฐบาลทั้งหมด
ประการแรก รัฐบาลไม่ได้อยู่ภาวะปกติที่ต้องรับมือกับโควิด-19 เพียงอย่างเดียว เหมือนหลายประเทศในโลก หากแต่รัฐบาล ต้องรับมือกับการต่อสู้ทางการเมือง ระหว่างฝ่ายที่ต้องการปฏิรูปสถาบันฯ ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งฉบับ และต้องการขับไล่รัฐบาลเผด็จการ ซึ่งก็หมายถึงรัฐบาลประยุทธ์และองคาพยพ “คสช.” นั่นเอง ขณะที่รัฐบาลต้องปกป้องสถาบันฯ และสานต่อภารกิจที่รับปากประชาชนเอาไว้ในการทำรัฐประหาร
ประการต่อมา เมื่อเกิดโรคระบาดโควิด-19 รัฐบาลต้องรับมือกับปัญหาการแพร่ระบาด ตั้งแต่ยังไม่รุนแรง จนกระทั่งรุนแรงขึ้น อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมือง กับฝ่ายที่ต้องการล้มรัฐบาลและสถาบันฯ ยิ่งนับวันทวีความรุนแรงขึ้น เพราะเห็นว่า รัฐบาลมีโอกาสเพลี่ยงพล้ำได้ง่าย จากการรับมือกับศึกหลายด้าน และล้วนแล้วแต่ ซ้ำเติมวิกฤติในการทำงานของรัฐบาล และหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่เป็นด้านบวกเลย
ประการที่สาม ปัญหาการโจมตีวัคซีน ทั้งการจัดซื้อ (กรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า จุดกระแสพาดพิงสถาบัน เบี่ยงเบนประเด็น เอื้อประโยชน์ ผูกขาดวัคซีน) การโจมตีวัคซีนของรัฐบาลด้อยค่า ด้อยประสิทธิภาพ เอาคนไทยเป็นหนูทดลองยา
แล้ว นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็แทรกเข้ามาผสมโรง ชี้นำวัคซีน ไฟเซอร์ และ โมเดอร์นา ว่า คุณภาพดีที่สุด ทั้งระบุว่า พวกตนฉีดยี่ห้อนี้แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนปล่อยข่าวลือ ถ้า “ทักษิณ” ได้กลับไทย จะช่วยแก้ปัญหาโควิดได้ภายใน 6 เดือน ทำให้ “ประชาชน” ค่อนประเทศ รอวัคซีนและการเข้ามาแก้ปัญหาของทักษิณ เพราะเริ่มมีการปล่อยข่าวจากหัวคะแนนการเมืองเช่นกันว่า ทักษิณจะได้กลับมาแน่ และประชาชนฐานเสียงทักษิณ ก็เชื่อหมดใจ
ประการที่สี่ ปัญหาช่วงแรกคนไทยไม่ยอมฉีดวัคซีน อันนี้ เรื่องใหญ่ และเป็นปัญหาหนักในเวลานี้ เพราะเหตุที่คนไทยถูกมอมเมา ล้างสมองด้วยความกลัว ด้วยการรอวัคซีน “ทักษิณ” รอวัคซีนที่มีคุณภาพกว่าของรัฐบาล ที่ถูกด้อยค่า โจมตี และแม้ว่า บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข (ที่เป็นกลางทางการเมือง) จะออกมาสร้างความเชื่อมั่นการฉีดวัคซีนอย่างไร ก็ไม่มีผล ทำให้คนไทยต้องเสี่ยงอย่างมากที่จะต้องเจอกับการระบาดอย่างหนักในระลอกที่สาม เป็นต้นมา
ประการที่ห้า ประชาชนคนไทยบางส่วนการ์ดตก ไม่ว่าจะเป็นพวกค้าแรงงานเถื่อน พวกนักพนัน พวกปาร์ตี้ยา พวกซ่องสุมบันเทิงเริงรมย์ พวกประกวดนางงาม พวกวงการบันเทิง แคมป์แรงงาน ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็น “คลัสเตอร์ใหญ่” ที่ก่อกระจายไปสู่ “คลัสเตอร์ใหม่” เต็มไปหมด และอย่างรวดเร็ว แถมโควิดก็มากลายพันธุ์ แพร่เร็ว และรุนแรงขึ้น จนยากยับยั้งได้ และยากที่ระบบสาธารณสุขไทยจะรับไหว ความจริงต้องบอกว่า ทั้งโลกมีปัญหาหมด ไม่แต่เฉพาะไทย
ประการที่หก ฝ่ายที่ต้องการล้มรัฐบาล และสถาบันฯ ได้โหมกระหน่ำเรื่องคนตาย เรื่องรัฐบาลหมดสภาพที่จะรับมือได้ โดยการขยายผลไปตามสื่อฝ่ายตัวเอง จนดูเหมือนมีประเทศไทยประเทศเดียวในโลกที่มีปัญหาโควิดที่ระบาดหนัก และปลุกกระแสจนคนทั้งประเทศเชื่อทุกอย่าง
ประการที่เจ็ด คิดหรือไม่ว่า ที่มันรุนแรงอยู่ในเวลานี้ ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะรอวัคซีน “ทักษิณ” รอยี่ห้อที่ขบวนการ 3 นิ้วปลุกปั่น และด้อยค่าวัคซีนที่รัฐบาลเอามาฉีด และเกิดความกลัวที่จะฉีด เพราะขบวนการ 3 นิ้ว ปลุกปั่นว่า ฉีดแล้ว จะมีผลข้างเคียงอันตรายอย่างนั้น อย่างนี้ ผลิตซ้ำย้ำแล้วย้ำอีก ในโซเชียลมีเดีย จนกลายเป็นกระแสหลัก ที่คนไม่ยอมฉีดวัคซีน “ซิโนแวค”
แต่ปรากฏว่า เชื้อโรคมันไม่รอด้วย โควิดมันกลายพันธุ์ เป็นสายพันธุ์เดลตา ที่ติดเร็วและรุนแรง คราวนี้แหละเกิดปรากฏการณ์คนตายข้างถนน ตายคาบ้าน เพราะเตียง และเครื่องมือแพทย์ไม่เพียงพอ เรื่องนี้หลายคนเคยเตือน รัฐบาลก็เคยเตือน นักวิชาการอย่าง อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ ก็เคยเตือน ว่า อย่าให้ทุกอย่างมันไปถึงจุดที่ระบาดหนักเหมือนหลายประเทศที่ตายเพราะไม่ได้รักษา ซึ่งประเทศอย่างไทย เสี่ยงมากเรื่องเตียงน้อย เครื่องมือแพทย์ไม่พอ เตือนตั้งแต่ยังไม่มี “คลัสเตอร์” ทั้งหลายเกิดขึ้น
แล้วที่สุด เป็นไง ภาพที่เห็นก็คือ คนไทยแห่กันไปฉีดวัคซีน ต่อคิวเข้าแถว จนวัคซีนบางแห่งไม่พอ ต้องเลื่อนฉีด นี่คือ ความจริงที่ไม่มีใครพูดถึง และโยนบาปให้รัฐบาล เพราะมีวาระซ่อนเร้น อยากขับไล่อยู่แล้ว อยากให้ล้มเหลวในการแก้ปัญหาโควิดอยู่แล้ว
ที่อำมหิตผิดมนุษย์ ก็คือ คนที่ทำเช่นนี้รู้อยู่แล้วว่าจะมีคนตายอย่างแน่นอน และตายมากมายมหาศาลด้วย ถ้าเอาไม่อยู่ คิดดูว่าบาปกรรมแค่ไหน ทำบุญชาตินี้ทั้งชาติ บวกชาติหน้าอีกทั้งชาติ ก็ลบล้างกันไม่หมด หรือไม่เชื่อเรื่องบาปบุญก็ให้มันรู้กันไป
ทั้งหมดขอถามย้ำอีกครั้ง ยังโทษแต่รัฐบาล โทษแต่ประยุทธ์ อยู่หรือไม่? ไม่โทษตัวเองเลยหรือ โดยเฉพาะไอ้ที่ป่วยเกือบตาย เพราะด้อยค่าวัคซีน!?