สู้แล้วรวยของจริง ท่อน้ำเลี้ยงอุ่นหนาฝาคั่ง เอ่ยปากรับบริจาคไม่ถึงวันได้เกือบ 10 ล. “อบจ.” นึกว่าเท่ ยกย่อง “ปวิน-กวิ้น-รุ้ง” ร่วมปฐมนิเทศ ชี้นำ นศ.ใหม่ “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ฮึ่ม! ปล่อยไม่ได้ ผู้บริหารต้องจัดการโดยด่วน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (21 ก.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “ตอนแรกหิวแสง ตอนนี้หิวเงิน!? ม็อบอวดเงินสะพัด ไม่ถึงวันได้เกือบ 10 ล้าน น่าสงสัย “แกนนำทำม็อบ” ได้ 20 ล้านบาท อาจเป็นจริง!?”
โดยเนื้อหาระบุว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้นำทีมบุกจับกุม นายสิทธิโชค เศรษฐเศวต ไรเดอร์ส่งอาหารฟู้ดแพนด้า ที่ไปก่อเหตุวางเพลิง โดยใช้น้ำมันราดบนผ้าประดับพร้อมกับจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์ ที่ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินนอก ในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมแนวร่วมกลุ่มราษฎร เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา
ต่อมามีกระแสจากมวลชน กดดันให้ประกันตัว นายสิทธิโชค จนกระทั่งทางด้าน “กองทุนราษฎรประสงค์” ซึ่งเป็นกองทุนที่เปิดรับบริจาค เพื่อไว้สู้คดีของกลุ่มแกนนำ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้เงินที่จะใช้ไว้ประกันตัวไม่พอสำหรับการประกันตัวไรเดอร์หนุ่ม โดยอ้างว่า ยังมีอีกหลายคนที่ต้องทำการประกันตัว จึงขอเปิดรับบริจาคเพิ่มอีกครั้ง ในช่วงเช้าของวันที่ 20 ก.ค. 64
แล้วในช่วงเย็นของวันดังกล่าว กองทุนราษฎรประสงค์ ได้เปิดเผยตัวเลขที่มีคนบริจาค เพิ่มขึ้นจาก 2 ล้าน เป็น 6 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดบางช่วงบางตอนว่า
“และเราขออัปเดตให้ทราบว่า จากยอดเงินล่าสุดก่อนระดมทุนเมื่อเช้านี้ที่มีอยู่ 2,318,707.93 บาท ปรากฏว่า หลังจากเบิกไปวางประกัน 100,000 บาทข้างต้น กลายเป็นว่า ยอดคงเหลือ ณ เวลานี้คือ 6,319,238.84 บาท!”
ซึ่งน่าคิดว่า กองทุนดังกล่าวใช้เวลาไม่ถึงวัน สามารถหาเงินได้เป็นจำนวนเกือบ 10 ล้านบาท ทำให้อดนึกถึงการขอบริจาคสนับสนุนม็อบ ที่เปิดและไม่เคยประกาศปิดรับเงินบริจาค มาตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค. 63 โดยมี ไผ่ ดาวดิน-ทนายอานนท์ และ รุ้ง ปนัสยา เป็นผู้ถือบัญชี จะมีเงินหมุนเวียนมากแค่ไหน ที่ว่าเป็น 100 ล้าน? ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร
กระทั่งในวันที่ 22 ก.พ. 64 มีคนออกมาพูดถึงเงิน 20 ล้าน ในบัญชีของ รุ้ง ปนัสยา ในทำนองว่า ทำม็อบจนรวย แต่ก็ไม่ได้มีการตรวจสอบจริงจัง แถมทางด้านของ “รุ้ง” ก็ได้ออกมาเปิดเผยโดยไม่มีการแก้ข่าวใดๆ เพียงแต่แถไปว่า
“พี่มาจี้ว่า หนูมี 20 ล้าน ถ้างั้นคนที่ใช้ภาษีประชาชนปีละ 4 หมื่นล้านอ่ะ พี่ไปตรวจสอบด้วยนะคะ”
เรื่องดังกล่าวนอกจากจะไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ม็อบยังคงเปิดรับบริจาคแบบไม่สนใจเรื่องใดทั้งนั้น เพราะต้องการกวาดเงิน กระทั่งเรื่องมาแดงขึ้น จากการทะเลาะวิวาทกันภายใน กรณียักยอกเงินบริจาค ระหว่างกลุ่ม แม่ยก และ แกนนำ ถึงขั้นแตกหัก และออกมาแฉกันในที่สุด ว่า มีการยักยอกเงินจำนวนหลาย 10 ล้านบาท
ต่อมา ยิ่งเป็นการจี้จุดว่า ม็อบนั้นสามารถสร้างเงินได้มหาศาล เมื่อ นายสมบัติ ทองย้อย หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง ที่ออกตัวชัดเจนว่าอยู่ฝั่งแกนนำ ได้ออกมากางบัญชีให้เห็นกว่า 10 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 64
หรือว่าเรื่องเงินที่หมุนเวียนเป็นจำนวนมากนี้ คือ เหตุผลหลักที่ทำให้กลุ่มแกนนำยอมทุ่มสุดตัวถึงขนาดที่ว่าถูกจับก็ไม่กลัว หากแลกกับเงินจำนวนมหาศาลก็อาจจะเป็นได้?
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็นสุดอึ้ง “กวิ้น” สุดหยาบ!! แจกกล้วยผู้บริหารจุฬาฯ กลางวงปฐมนิเทศ ปั่นหัวนิสิต เราคือเจ้าของมหาลัย!?”
เนื้อหาระบุว่า จากกรณี นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นายกองค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ที่ได้เชิญบุคคลที่มีความคิดต่อต้านสถาบัน คือ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามมาตรา 112 (หมิ่นสถาบัน) มาพูดคุยกับนักศึกษาใหม่
ล่าสุด มีรายงานว่า พิธีปฐมนิเทศนิสิตใหม่จุฬาฯ ทุกคณะ รุ่น 105 ทางออนไลน์ มีการเชิญผู้ต้องหาในคดี ม.112 ทั้ง ปวิน กวิ้น รุ้ง ร่วมพิธีโดยการอัดคลิปมาเผยแพร่ ที่น่าสนใจคือ คำพูดของนายเพนกวิน มีอยู่ตอนหนึ่งพูดว่า
ทริกดีๆ ของการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย คือ การแจก คxย ให้ผู้บริหาร เจ้าของมหาวิทยาลัยทุกๆ คนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ซึ่งผมคิดว่า ก็เป็นกันทุกมหาวิทยาลัย นิสิตนักศึกษาคือประชากรส่วนมาก ดังนั้น เสียงของนิสิตนักศึกษามันต้องดังที่สุดสำคัญที่สุด
ฉะนั้น เราต้องส่งเสียงของเราให้ดังๆ แรงๆ เพื่อให้เค้ารู้ว่า เรามีตัวตนนะ เราจ่ายเงินให้คุณไปบริหารมหาวิทยาลัย เพราะมีเราเข้าเรียนมันจึงยังมีมหาวิทยาลัยอยู่ ดังนั้น ผู้บริหารจะต้องฟังเสียงนักศึกษา นักศึกษาเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ เราจึงต้องตรวจสอบผู้บริหาร นายกรัฐมนตรี หรือคนที่สูงกว่านายกรัฐมนตรี ที่ใช้เงินของเราทำอะไรสักอย่าง ใช้อำนาจเหนือเรา
สำหรับ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต เป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีหมิ่นสถาบัน รวมทั้ง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำม็อบราษฎร ที่อยู่ระหว่างการได้รับประกันตัวคดีหมิ่นสถาบัน ซึ่งถูกดำเนินคดีตามความผิดมาตรา 112 แล้ว กว่า 10 คดี และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำคณะราษฎร ก็เช่นกัน เป็นผู้ต้องหาอยู่ระหว่างได้รับประกันตัวจากความผิดมาตรา 112 จำนวนหลายคดีด้วย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กวานนี้ว่า
“จุฬาฯปล่อยไม่ได้นะ
วันนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกิดสิ่งที่เลวร้ายไม่น่าให้อภัย ทางมหาวิทยาลัยได้จัดพิธีปฐมนิเทศนิสิตใหม่ทุกคณะ รุ่น 105 ทางออนไลน์ ช่วงเช้าเป็นรายการของทางผู้บริหารมหาวิทยาลัย คำขวัญต้อนรับน้องใหม่จุฬาฯ
วันนี้ คือ หน่ออ่อน ของวันหน้า จามจุรี ศรีจุฬาที่แจ่มใส ขอต้อนรับน้องจุฬาฯทุกคนไป ให้ก้าวไกลที่พึ่งได้ของสังคม
ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ในช่วงบ่าย เป็นรายการ อบจ.จุฬาฯ ที่นำโดย เนติวิทย์ ความผิดปกติเกิดขึ้นทันที รายการได้เชิญผู้ต้องหาในคดี ม.112 ทั้ง ปวิน กวิ้น รุ้ง โดยบอกว่า เป็นคนที่ทำคุณประโยชน์ให้บ้านเมือง มาพูดคุยกับน้องใหม่จุฬาฯ
จุฬาฯของเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชื่อของมหาวิทยาลัยเป็นพระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 5 เป็นมหาวิทยาลัยที่สถาปนาด้วย พระราชทรัพย์ และที่ดินส่วนพระองค์ที่พระราชทานให้จุฬาฯ
แต่ อบจ.กลับเอาคนที่ต่อต้านสถาบันฯ กระทำผิด ม.112 มาพูดให้นิสิตใหม่ฟัง ที่ผู้บริหารจุฬาฯ เรียกว่า หน่ออ่อน แต่กลับให้จำเลยคดี 112 มาพูดกับหน่ออ่อน ที่จะก้าวไปวันหน้ายังไง มีหรือที่คนกลุ่มนี้จะกล่าวยกย่องพระเกียรติคุณ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้บริหารจุฬาฯปล่อยไปได้อย่างไร ผู้บริหารจุฬาฯ รู้เห็นเป็นใจกับ อบจ.หรือไม่ หากไม่ใช่ ผู้บริหารจุฬาฯ ต้องสอบสวนลงโทษ ห้ามปล่อยผ่าน และต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว โดยไม่ชักช้า
มั่นใจได้ว่า ชาวจุฬาฯทั้งมวลต้องไม่แฮปปี้กับเรื่องนี้แน่นอน”
สำหรับ “เนติวิทย์” ถือว่าเป็นหนึ่งในแกนนำขบวนการ “พันธมิตรชานม” (ขบวนการโลกออนไลน์เพื่อความเป็นปึกแผ่นทางประชาธิปไตย ประกอบด้วย ชาวเน็ตฮ่องกง ไต้หวัน และ ไทย) และ โจชัว หว่อง เป็นตัวตั้งตัวตีให้เกิดขบวนการนี้ขึ้น
โดยเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 63 นายเนติวิทย์ โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ Netiwit Chotiphatphaisal @NetiwitC ระบุว่า
“โจชัว หว่อง แจ้งผม และให้ผมแจ้งเพื่อนๆ ให้ทราบว่า วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคมนี้ เวลา 16.00 น. เขาจะไปแสดงพลังสนับสนุนการต่อสู้ของคนไทย ต่อต้านเผด็จการ ที่หน้าสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง (Royal Thai Consulate-General, Hong Kong)
“โจชัว หว่อง และคนฮ่องกงจะไปประท้วงต่อต้านรัฐบาลไทย ที่หน้ากงสุลไทยในฮ่องกง พวกเราควรจะสนับสนุนพวกเขาที่แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ก็ช่วยพวกเรา วันนี้ เวลา15.00 น. เวลาประเทศไทย (เวลา 16.00 น.ที่ฮ่องกง) พวกเรามาทวีตและติดแฮชแท็ก #MilkTeaAlliance #save12hkyouths ช่วยให้ขึ้นอันดับ 1 ของโลกกันครับ”
และ นายเนติวิทย์ ยังทวีตข้อความอีกว่า “ประชาชนฮ่องกงออกมาช่วยกระจายข่าวการต่อสู้ของคนไทยให้ทั่วโลกรู้ รวมถึงแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่นั่นด้วย พวกเราเองก็มาช่วยคนฮ่องกงที่ถูกกดขี่เสรีภาพด้วยกันโดยติด #save12hkyouths รณรงค์และกดดันให้รัฐบาลจีนและฮ่องกง ปล่อยตัวเยาวชน 12 คน ที่จีนจับตัวอยู่ ให้กลับฮ่องกงโดยสวัสดิภาพทันที”...
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ แม้คนไทยจะคุ้นชินอยู่กับ ม็อบ 3 นิ้ว ที่มีพฤติกรรมเหมือนไม่เอาไหน นอกจากเผาและทำลายทรัพย์สินทางราชการ โดยเฉพาะที่เป็นเชิงสัญลักษณ์ของสถาบันฯ รวมทั้งปะทะกับเจ้าหน้าที่ด้วยความรุนแรง เหมือนจงใจยั่วยุให้ปราบปราม ใช้ความรุนแรงตอบโต้ โดยมีคนที่จ้องบันทึกภาพเอาไว้ประจานอยู่แล้ว
พอมาวันนี้ สิ่งที่คนไทยจะต้องจับตามอง อาจมากกว่านั้น และจะมองแต่กลุ่มม็อบอย่างผิวเผินไม่ได้อีกต่อไป
เพราะชัดเจนว่า “3 นิ้ว” ในไทย ก็คือ หนึ่งในขบวนการ “3 นิ้ว” ในระดับสากล หรือมีขบวนการสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ทั้งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี รวมถึงท่อน้ำเลี้ยง ที่บริจาคให้กับม็อบ เพียงแต่ยังระบุชัดไม่ได้เท่านั้น ว่า เป็นใคร และคงเป็นไปไม่ได้ที่คนไทยโดยทั่วไปจะบริจาคได้มากมายขนาดนี้ในท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจและโรคระบาด?...
ยิ่งกว่านั้น ปรากฏการณ์ “เนติวิทย์” ยกย่องกลุ่มคนต่อต้านสถาบันฯทั้งในประเทศและในต่างประเทศ (ลี้ภัย) มาหยามเกียรติชาวจุฬาฯ (ที่จงรักภักดี) ก็ยิ่งเห็นได้ชัด ว่า ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทย มันถูกผูกโยงเข้ากับขบวนการในต่างประเทศ อย่างน้อยก็ “พันธมิตรชานม” เรียบร้อย ไม่นับกลุ่มอื่น
ดังนั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุด อาจไม่ใช่สิ่งที่คนไทยคิดว่า ไล่ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อยุติความตายจากโรคระบาดโควิด อย่างที่คนบางกลุ่มชูเป้าลวงขึ้นมาเป็นประเด็นร่วมของคนไทย ที่ทนไม่ได้กับสภาพที่ผู้นำแก้ปัญหาไม่ได้ เท่านั้น
หากแต่เหนืออื่นใด คือ ภาวะสุญญากาศทางอำนาจ หากล้มประยุทธ์ได้ และความขัดแย้งรุนแรงของประชาชน “สองขั้ว” โดยมีตัวเร่งให้เกิดสงครามกลางเมือง จากคนที่มีผลประโยชน์ทางการเมือง เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ
สุดท้าย ใครได้ประโยชน์จากซากปรักหักพังจากสงครามกลางเมืองของประเทศ ลองคิดดู!!!