เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าจะพอรู้ที่มาที่ไปสำหรับสารพัดม็อบหลากหลายชื่อ “หลากหลายสายพันธุ์” ที่กำลังเคลื่อนไหวรุมถล่ม “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอยู่ในขณะนี้ โดยเป้าหมายหลักก็คือ กดดันให้ “ลาออก” เป็นหลักมากกว่าการยุบสภา
แม้ว่าโดยสถานการณ์ความเป็นจริงเวลานี้ยังไม่เหมาะที่จะมีการเคลื่อนไหวรวมกลุ่ม หรือทำกิจกรรมใดสำหรับการรวมกลุ่มของคนตั้งแต่ 10-20 คนขึ้นไป เนื่องจากเป็นช่วงสถานการณ์ “โรคระบาด” โดยเฉพาะโรคระบาดโควิด-19 ที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกันอยู่ ทำให้มีคนป่วย คนตายหลายล้านคนแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง หรือมียาหรือวัคซีนที่ป้องกันรักษาได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์
โดยเฉพาะประเทศไทยในเวลานี้กำลังระบาดอย่างหนัก มีผู้ติดเชื้อ มีผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตทำลายสถิติสูงสุดที่ไม่น่าจดจำอยู่ทุกวัน
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการ “เห็นช่องทาง” เห็นจังหวะที่จะสามารถ “ตีกระหน่ำ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้บอบช้ำหรือทำให้เกิดเหตุ “ล้มคว่ำ” ลงไปได้เหมือนกัน
เพราะอย่างที่รับรู้กันอยู่ในเวลานี้ที่เป็นช่วงโรคระบาดหนัก ที่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ระบุว่าเป็นการระบาดใน “ระลอกที่ 4” ซึ่งนั่นเท่ากับว่ายิ่งสร้างความหวั่นวิตกให้กับประชาชนคนไทยทุกคน เพราะการระบาดยืดเยื้อยาวนานนับปีในแบบไม่เห็นอนาคตข้างหน้าว่าจะคลี่คลายลงได้เลย มันก็ทำให้เกิดความเครียด การสิ้นเนื้อประดาตัว มีหนี้สินพอกพูนจนหลายคนทนไม่ไหว หลายคนหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตายหนีปัญหาไปแล้วก็มี
คราวนี้ต้องบอกว่าเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า เพราะเชื้อโควิดลามออกไปทุกหนทุกแห่ง โดยเฉพาะการระบาดเข้าไปในครอบครัว ทุกอย่างจึงอยู่ในภาวะวิกฤต เกิดความเครียดไปทั่ว
แน่นอนว่าในฐานผู้นำรัฐบาลคนจำนวนมากก็ต้องชี้หน้ามาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำประเทศก็ต้องรับไป ยิ่งเป็นสภาวะที่ “วัคซีน” กลายเป็นความหวังสูงสุดสำหรับการรักษาชีวิตรอด แต่ในความเป็นจริงมันอยู่ที่ “ผู้ผลิตและผู้ขาย” ไม่ใช่ของผู้ซื้อ และยังมีประเทศร่ำรวย ประเทศผู้ผลิตวัคซีนครอบครองและกักตุนเอาไว้เกือบหมด เหลือเจือจานประเทศเล็กประเทศน้อยไม่เท่าไหร่ และยังมีราคาแพงจนหลายประเทศเอื้อมไม่ถึง
และที่สำคัญแม้ว่าหลายประเทศจะมีเงินในการจัดซื้อ แต่ก็ใช่ว่าจะหามาได้ เพราะอย่างที่รับรู้กันก็คือ ตลาดเป็นของผู้ขาย และมีจำนวนจำกัด จึงนำมาสู่ “สัญญาทาส” ที่ต้องยอมรับความเสียเปรียบทุกอย่าง เหมือนกับที่ประเทศไทยกำลังเจออยู่ในเวลานี้กับสัญญาซื้อวัคซีนประเภทmRNAของบางยี่ห้อจากประเทศตะวันตก
จากภาวะที่อยู่ในวิกฤตจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ยังควบคุมไม่ได้ การขาดแคลนวัคซีน การแย่งวัคซีน ส่งผลลุกลามมาถึงปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง หนี้สิน ทุกอย่างจึงต้องมาลงที่ “ลุงตู่” และมีเสียงวิจารณ์ถึงความ “ล้มเหลว” ความล่าช้า การตัดสินใจผิดพลาดสารพัดที่จะชี้หน้าด่า
แน่นอนว่ากลุ่มคนดังกล่าวที่ส่งเสียงตำหนิรัฐบาลแลผู้นำดังขึ้นอาจเป็นคนใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตโรคระบาดนี้ แต่ขณะเดียวกันมันก็ยังมี “กลุ่มขาประจำ” ที่เคลื่อนไหวมาก่อนหน้านี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มนี้ก็มีสารพัดชื่อ เช่น กลุ่มไทยไม่ทนสามัคคีประเทศไทย นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ กลุ่มประชาชนคนไทย กลุ่มราษฎร ที่ใช้สัญลักษณ์ “สามนิ้ว” ซึ่งหากพิจารณาแบ็กกราวด์แล้วส่วนใหญ่ก็มีการเคลื่อนไหวแอบอิงอยู่กับพรรคการเมือง หรือเป็นแนวร่วมขบวนการเดียวกัน โดยเฉพาะในกลุ่มฝ่ายค้าน เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล
นอกเหนือจากนี้ ยังมีกลุ่มบุคคล บุคคล เช่น นายทักษิณ ชินวัตร นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นต้น ที่เคลื่อนไหวมีเป้าหมายต้องการโค่นล้ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะที่บางกลุ่มบางพรรคมีเป้าหมายไปไกลกว่านั้นอีก นั่นคือมีเจตนาโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์
จากการรายงานข่าวความเคลื่อนไหวพวกเขาได้นัดชุมนุมกันอีกรอบในวันที่ 10 กรกฎาคม เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้พ้นไปให้ได้ โดยคาดหวังว่าคราวนี้จะมีคนเข้าร่วมจำนวนมาก เนื่องจากเชื่อว่าผลจากความผิดพลาด ล้มเหวจากการแก้ปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 แม้บอกว่าจะมีการปรับขบวนคู่ขนานกันหลายรูปแบบ ทั้งแบบชุมนุม การใช้ขบวนคาร์ม็อบบีบแตรรถยนต์
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะใช้รูปแบบใดก็ตาม หรือมีการเคลื่อนไหวถี่ยิบต่อเนื่องแค่ไหนก็ตาม แต่ที่สำคัญก็คือ สังคมจะมี “อารมณ์ร่วม” หรือไม่ต่างหาก หรือมีคำถามว่า หาก “ไล่ลุงตู่” พ้นไปแล้ว แล้วไงต่อให้ใครมาแทน มีใครเหมาะสมกว่ามั้ยในสถานการณ์แบบนี้ หรือคิดแค่ว่า “ไล่ๆไปก่อน” จากนั้นค่อยมาว่ากัน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอดูว่าผลจะออกมาแบบไหน หรือจะทำให้ “ลุงตู่” แกร่งขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า มันก็น่าคิดเหมือนกัน !!