xs
xsm
sm
md
lg

“กองแช่ง” ผสมโรง ยุชาวบ้านติดโรค-ติดคุก!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

ต้องบอกว่านาทีนี้สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คนเชียร์ก็มาก ขณะเดียวกัน “คนไม่ชอบ” ก็ไมเบาเหมือนกัน ซึ่งอย่างหลังมีทั้งประเภทอารมณ์ “หน้ามืด” จากปัญหาความเดือดร้อนยาวนาน จนยืนระยะต่อไปไม่ไหว ก็ต้องระบายออกให้เห็นมากขึ้น

ขณะที่อีกกลุ่มที่เป็น “กลุ่มเดิม” ที่ต้อง “แช่ง” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “วายวอด” ได้ทุกเวลานาที เพราะหากยิ่งอยู่นานไปเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเดือดร้อน ทั้งประเภท “อดอยากปากแห้ง” ที่อดเข้าสู่อำนาจรัฐ ซึ่งในระยะ 7 ปี และกำลังย่างเข้าสู่ปีที่ 8 มันก็ทำให้คนพวกนี้กระวนกระวายใจ ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้ก็มีทั้งที่เป็นพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง อย่างที่รู้กันอยู่ว่ามีพรรคไหน และกลุ่มใดบ้าง

เพื่อให้เข้าใจง่าย และไม่ต้องอ้อมค้อมก็ต้องบอกว่าพรรคการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับ “บิ๊กตู่” ก็ย่อมหมายถึงพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล รวมไปถึงเครื่อข่ายที่เป็นกลุ่มการเมืองที่กำลังเคลื่อนไหวในเวลานี้ในสารพัดชื่อเรียก และแม้ว่าในกลุ่มพวกนี้จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน มีเป้าหมายสูงสุดต่างกัน เช่น กลุ่มเครือข่ายนายทักษิณ ชินวัตร มีเป้าหมายเพื่อกลับเข้ามามีอำนาจรัฐอีกรอบ หลังจากห่างหายไปนาน นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ และพวกในนามกลุ่ม “สาม ป.” เข้ามามีอำนาจ

ขณะที่อีกพรรคหรือพวกหนึ่งที่มีพรรคก้าวไกล ในเครือข่ายของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พวกนี้ไปไกลกว่า เพราะเป้าหมายสูงสุดคือ “สถาบันฯ” ที่ก่อนหน้านี้เคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภาฯ นอกสภาฯก็แอบอยู่ข้างหลังพวกเด็กๆ ที่ใช้สัญลักษณ์ “สามนิ้ว” ดังที่ทราบกันดี

แต่ถึงอย่างไรที่ผ่านมาทั้งสองกลุ่มนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จ ตรงกันข้ามทุกอย่าง มีแต่ถดถอย แม้ว่าที่ผ่านมาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองใน “ชื่อใหม่” แต่หน้าเก่า เช่น “ไทยไม่ทน” ของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ กลุ่ม “ประชาชนคนไทย” ที่มี นายนิติธร ล้ำเหลือ เป็นแกนนำ ที่เพิ่งจัดกิจกรรมไปเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน มีเป้าหมายเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ลาออกจากนายกรัฐมนตรี โดยพวกเขายังย้ำว่า จะเดินหน้าเคลื่อนไหวต่อไปทุกสัปดาห์

โดยเฉพาะกลุ่มของนายจตุพร ที่ประกาศนัดชุมนุมในวันที่ 3 กรกฎาคม มีเป้าหมายเดิม คือ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก ซึ่งกลุ่มของนายจตุพร ถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับ กลุ่มนายทักษิณ ในลักษณะแบบ “รวมการเฉพาะกิจ” แบบ “งานจ๊อบ”

อย่างที่รับรู้กันก็คือ การเคลื่อนไหวขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่ประสบความสำเร็จ แม้ว่าในช่วงระยะหลังความนิยม ในตัวของเขาจะลดลงเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ และผลสำรวจที่ว่านั้นก็บอกว่า “ยังไม่มีใครเหมาะสม” มีเปอร์เซ็นต์สูงที่สุด แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ยังได้รับความนิยมเหนือกว่านักการเมืองคนอื่นๆ แบบ “ทิ้งห่าง”

ที่ผ่านมา แม้ว่า นายทักษิณ ชินวัตร ที่ก่อนหน้านี้ ถือว่า “มีพลังมาก” แต่ในระยะหลังถือว่าอ่อนแรงลงไปมาก โดยจะเห็นการเคลื่อนไหวผ่านทางโซเชียลฯ มีความพยายามเคลื่อนไหวออกความเห็นในนามของ “โทนี่” ในห้องสนทนาของกลุ่มการเมือง “กลุ่มแคร์” ที่เคยเป็นลูกน้องเก่าในยุคตั้งพรรคไทยรักไทย

เป้าหมายก็ไม่มีอะไรซับซ้อน คือ “ดิสเครดิต” รัฐบาลโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ ล่าสุด เขาก็เน้นย้ำโจมตีในเรื่อง “จุดอ่อน” วัคซีน คราวนี้อาสาขออำนาจเจรจาจัดหาวัคซีนให้ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เป้าหมายเพื่อ “ตีกิน” แบบไม่ต้องลงทุน

หากจำกันได้ ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร เคยเสนอให้รัฐบาลเจรจาจัดซื้อวัคซีน “สปุกนิก” ของรัสเซีย พูดแบบ “โชว์เหนือ” ทำนองว่าสนิทกับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ซึ่งหากหลงเชื่อในตอนนี้รัฐบาลคงซวยหนักกว่าเดิม เพราะวัคซีนยี่ห้อดังกล่าวของรัสเซีย จนถึงเวลานี้ยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกแต่อย่างใด จากนั้นก็เงียบหายไป

ล่าสุด โผล่หน้ามาอีกแล้ว ทำอาสาขออำนาจไปเจรจาจัดหาวัคซีน ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะสถานะของเขาเป็น “นักโทษหนีคดี” และไม่ใช่คดีทั่วไป แต่เป็น “คดีทุจริต” ที่ในสายตาต่างชาติถือว่า “ต่ำชั้น” อย่างมาก

ส่วนพรรคก้าวไกล และกลุ่ม “สามนิ้ว” ที่ผ่านมา ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ หลังจากเคลื่อนไหวแบบ “ทะลุเพดาน” มุ่งล้มล้างสถาบันฯ ทำให้แนวร่วมหดหาย บรรดาแกนนำเด็กๆ ก็มีคดีสะสมยาวเป็นหางว่าว ส่วนพรรคก้าวไกลนั้น ในทางการเมืองถือว่าเดินกันคนละทางกับพรรคเพื่อไทย อย่างชัดเจน หลังจากมีเป้าหมายในการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทยต้องการกลับมาใช้บัตรเลือกตั้งแบบสองใบ ขณะที่พรรคก้าวไกล ไม่ต้องการให้แก้ไข เพราะเสี่ยงที่จะ “สูญพันธุ์”

แต่ล่าสุด เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในระลอกใหม่ ที่มีคนติดเชื้อ และคนเสียชีวิตจำนวนมาก ขณะที่วัคซีนก็เข้ามาไม่ตามเป้า ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ซึ่งก็ส่งผลให้ “บิ๊กตู่” ต้อง “เดือดร้อน” นั่งไม่ติดเช่นเดียวกัน เพราะตราบใดที่ยังคุมสถานการณ์แพร่ระบาดไม่อยู่ และต้องออกมาตรการบังคับเข้มงวดขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับเวลานี้ที่ “ล็อกดาวน์แคมป์คนงาน” และสั่งห้ามร้านอาหารประเภทกินดื่มในร้าน ให้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียวในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมไปถึงในจังหวัดชายแดนใต้ 4 จังหวัด จนเกิดเสียงโวยวายจากผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่ถือว่าเดือดร้อนหนัก และมีบางร้านที่มีการติดแฮชแท็ก “กูจะเปิดใครจะทำไม” ราวกับว่าไม่สนคำสั่งรัฐบาลและ ศบค. และต่อมาก็มีพวกกลุ่มการเมืองหลายคนออกมาสนับสนุนในลักษณะ “ยุยง” ให้ทำแบบนี้

แน่นอนว่า มันกลายเป็น “เรื่องการเมือง” ที่จะเป็นต้นเหตุให้เจ้าของร้านค้าต้อง “เสี่ยงติดโรค” และทำผิดกฎหมาย ซึ่งมีโทษไม่ใช่น้อยๆ ในสถานการณ์ที่บังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และภายใต้สถานการณ์ควบคุมโรคติดต่อร้ายแรง ก็ได้แต่หวังว่า “คิดก่อนทำ” เพราะไม่เช่นนั้นเมื่อมีปัญหาในภายหลังคนที่ที่ยุยงอยู่ข้างหลังมันก็หนีเอาตัวรอดทุกที ขณะที่คนที่ซวยคือชาวบ้าน เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับพวกม็อบสามนิ้วที่ “ขาแหย่เข้าคุก” ไปแล้ว !!


กำลังโหลดความคิดเห็น