xs
xsm
sm
md
lg

สารพัดม็อบ 24 มิ.ย.ไทยไม่ทนหรือไทยเฉยๆ!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มไทยไม่ทน
เมืองไทย 360 องศา

ก็คงมาตามนัด สำหรับสารพัดม็อบในวันที่ 24 มิถุนายนนี้ ไม่ว่าจะเป็นม็อบ “ไทยไม่ทน” กลุ่มประชาชนคนไทย กลุ่มราษฎร และอีกหลากหลายกลุ่ม หลายสัญลักษณ์ ประเภทชู “สามนิ้ว” หรืออะไรก็แล้วแต่ ตามที่สรรหากันมาเพื่อสร้างภาพให้จดจำให้ได้มากที่สุด

การปักหมุดเอาวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันดีเดย์ (อีกรอบ) ของกลุ่มผู้ชุมนุมพวกนี้ ก็ยึดเอาวัน “ยึดอำนาจ” พระมหากษัตริย์ ของ “คณะราษฎร” เมื่อปี 2475 ที่ตอนนั้นอ้างกันสวยหรู ว่ามีเป้าหมายมา “กระจายอำนาจสู่ราษฎร” ให้เป็นจริง ให้ราษฎรอยู่ดีกินดี แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านมาเกือบร้อยปีแล้ว ทุกอย่างกลับเป็นตรงกันข้าม

ที่อยู่ดีกินดีมีแต่พวก “คณะราษฎร” เท่านั้นที่ร่ำรวย ผูกขาด และที่สำคัญ บรรดา “หัวโจก” คณะราษฎรนี่แหละ เป็น “เผด็จการตัวพ่อ” อีกต่างหาก แย่งชิงอำนาจ เข่นฆ่ากันอย่างสุดโหด และที่น่ารังเกียจไปกว่านั้นก็คือ การ “ปล้น” ทั้งทรัพย์สิน และอำนาจของพระมหากษัตริย์ ดังที่มีหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว

จนในที่สุดทำให้มีการ “ด้อยค่าคณะราษฎร” ลงไป จนเสียเครดิตไม่ต่างจาก “โจร” ที่เข้ามาปล้น หากพิจารณาจากหลักฐานที่เกิดการบิดเบือนผลงานวิจัยของนักวิชาการคนหนึ่งที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ในกลุ่ม “คณะราษฎร” ย่อมมีคนที่มีมลทินน้อยลงมา และคงไม่อาจ “เหมารวม” ไปทั้งหมด อย่างน้อยก็ได้มองเห็นเจตนาดีของบางคน เช่น นายปรีดี พยมยงค์ เป็นต้น แต่เขาก็ไร้ซึ่งอำนาจที่จะทำการเปลี่ยนแปลง หรือ “อภิวัฒน์” อะไรได้

ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันถึง ไพร่ อำมาตย์ การกดขี่ รวมไปถึงชนชั้นในยุคนี้ เชื่อหลายคนคงมองข้ามไปแล้ว แม้ว่าจะมีอยู่จริงในสายตาของบางคน ขณะที่อีกหลายคนกลับมองว่าไม่มีจริง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนตัวภายใต้สังคมในยุค “ดิจิทัล” ที่ทุกอย่างเกือบจะไร้ตัวตนไปแล้ว ดังนั้น การปลุกกระแสของ “คณะราษฎร” ในยุคนี้ มันจึงทำให้สังคมส่วนใหญ่รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้อินไปด้วย อาจเป็นเพราะผ่านมาทุกปีๆ ต่อเนื่องกัน 89 ปี ทำไมเพิ่งมาพลุ่งพล่านอะไรกันตอนนี้ อะไรประมาณนั้น

ที่สำคัญ เมื่อพิจารณาจาก “ตัวตน” ของผู้นำคณะราษฎรแต่ละคนแล้ว มันก็คือ “เผด็จการตัวพ่อ” ดีๆ นี่เอง

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากการยึดหมุดหมาย วันที่ 24 มิถุนายน สำหรับ “ดีเดย์” เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่อยู่ในอำนาจมายาวนานกว่า 7 ปี แล้ว และทำท่าว่าจะ “อยู่ยาว” ไปไม่รู้อีกกี่ปีข้างหน้า โดยบรรดาแกนนำม็อบเหล่านี้ เท่าที่สำรวจรายชื่อมาได้ เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่ม “ไทยไม่ทน” นายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย และพวกกลุ่มที่ใช้สัญลักษณ์ “สามนิ้ว” ในสารพัดชื่อ โดยม็อบเหล่านี้จะมาแบบ “รวมการเฉพาะกิจ” ต้องการกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกไปอย่างเดียว โดยไม่ต้องการให้ “ยุบสภา” จากนั้นก็ให้รัฐสภาร่วมกันสรรหานายกรัฐมนตรีขึ้นมาใหม่ พร้อมกับให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาแทน

อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันอีกมุมหนึ่งในแง่ของความเป็นจริงทางสังคม ก็ต้องชี้ให้เห็นว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถอยู่ในอำนาจมานานกว่า 7 ปีแบบนี้ เป็นเพราะเขาเป็น “เผด็จการ” สามารถปราบปรามกดขี่ ปิดหูปิดตาประชาชน อย่างนั้นหรือไม่ ซึ่งในกรณีดังกล่าวคงไม่ต้องให้คำตอบก็ได้ แต่เอาเป็นว่า เมื่อผลสำรวจออกมา “ทุกครั้ง” ทำไมเขายังได้รับความนิยมนำหน้านักการเมือง หรือ แกนนำกลุ่มการเมืองทุกที ซึ่งความนิยมที่ว่านั้น ก็ไม่ใช่ออกมาแบบ “สูสี” แต่ออกมาในลักษณะทิ้งขาดทุกที ซึ่งฝ่ายตรงข้าม หรือพวกที่ไม่ชอบก็อาจแย้งว่า “ซื้อโพล” ก็ว่ากันไป

แม้ล่าสุด ผลสำรวจจาก “นิด้าโพล” ที่จะว่าไปแล้ว เป็นสำนักที่มีผลสำรวจให้คะแนนความนิยม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับบางสำนัก มีผลความนิยมลดต่ำลงที่สุดในรอบ 7 ปี แต่ขณะเดียวกัน ก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าเขาก็ยังเหนือกว่าคนอื่นอีก “หลายช่วงตัว”

คำถามพื้นๆ ก็คือ ไม่ว่าเขาจะเป็นเผด็จการ หรือไม่ หรือด้อยค่าว่า “ไม่ฉลาด” บ้าง ไม่สนใจเรื่องการปฏิรูปอย่างจริงจัง พยายามสืบทอดอำนาจตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ แต่การยืนระยะได้นานแบบนี้ก็ย่อมหมายความว่า เขายังมีประชาชนสนับสนุนอีกจำนวนมาก เนื่องจากเห็นถึงความตั้งใจ และผลงานที่ออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมหรือไม่ ไม่เช่นนั้น ต่อให้มีกระบอกปืนมาจ่อคอมากเท่าไหร่ ก็คงไม่เป็นผล

อีกด้านหนึ่ง เมื่อหันมาพิจารณา “ฝ่ายไล่” บ้าง นาทีนี้เมื่อมองเข้าในรายละเอียด “เนื้อใน” ของแต่ละคนแล้วล้วนมีพฤติกรรมที่ “น่าสงสัย” ว่า “รับงาน” ใครมาหรือไม่ เพราะเมื่อมองจากความเป็นไปได้แล้วมันยังคลุมเครือ เพราะถึงแม้ว่าจะไล่ “บิ๊กตู่” พ้นไปได้จริง แต่คำถามก็คือแล้วเป็นไปได้แค่ไหน ที่รัฐสภาจะยอมให้มีการเลือกนายกฯ จากคนนอก

ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วถือว่า “เป็นศูนย์” อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากอารมณ์ร่วมของคนไทยในช่วงโควิด แล้วคงไม่ใช่ไหลไปแบบ “ไทยไม่ทน” แต่น่าจะเป็นแบบ “ไทยเฉยๆ” มากกว่า และเมื่อได้เห็นแบ็กกราวนด์แต่ละคน มันก็ยิ่งไม่น่าไว้ใจยิ่งกว่าเผด็จการที่กล่าวหาเขาเสียอีก เพราะที่น่าจับตาก็คืองานนี้จะเป็น “ม็อบล้างหนี้” ให้ใครบางคนหรือเปล่า !!


กำลังโหลดความคิดเห็น