“พี่โทนี่” มาแว้ว... เย้ย “ประยุทธ์” ตามเคย “มอบอำนาจผมสิ” จะจัดหาวัคซีนให้ “แรมโบ้” ซัดนายเก่าผู้นำพูดมากและขี้โกง ตอบก่อน “หนีคดีทำไม” ฝ่าย “น้องช่อ” ยุยง “ปชช.” #กูจะเปิดมึงจะทำไม “ทิพานัน” ยกกฎหมายโต้ “คุกรออยู่”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (30 มิ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “แรมโบ้” ซัดเดือด “ทักษิณ” ทำตัวด้อยค่าคนอื่น ผู้นำพูดมากและขี้โกง ตอบให้ได้ก่อน “หนีคดีทำไม”?
โดยเนื้อหาระบุว่า จากกรณีเมื่อค่ำวันที่ 29 มิ.ย. 64 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือ Tony Woodsome ได้สนทนาในรายการ CARE ClubHouse x CARE Talk ตอน “โทนี่สอนน้อง” พังพินาศกันไปใหญ่ เจ็บได้แต่ไม่จบ ล็อกดาวน์ไปทำไม ถ้าไม่ตรวจเชิงรุก โดยระบุตอนหนึ่งว่า
ตนไม่เห็นด้วยกับการปิดแคมป์คนงาน เพราะเป็นการปิดแบบเหวี่ยงแห แต่น่าจะมีระบบการทดสอบก่อน แคมป์ไหนไม่มีการติดเชื้อก็ให้เปิดไป ทำอย่างนี้เศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อไปได้
และยังวิจารณ์การบริหารจัดการวัคซีน ว่า รู้สึกสะเทือนใจที่เราต้องรับบริจาควัคซีน ขณะที่ประเทศไทยมีโรงงานผลิตวัคซีนได้เอง “มอบอำนาจให้ผมสิ ผมจะหาให้ มันอยู่ที่การเจรจา ถ้ารัฐบาลไม่รู้จะทำอย่างไร มอบอำนาจให้ผม ผมทำให้ได้เลย ช่วงนี้ยิ่งไม่มีงานทำอยู่” วัคซีนตัวหนึ่งที่ออกมาใหม่ ชื่อ โนวาแวกซ์ ผมไปคุยกับนักลงทุนสิงคโปร์ เขาบอกดีมาก น่าลงทุน วันนี้เพิ่งผ่าน FDA ของอเมริกา ไปเจรจาแล้ว ใช้ได้เลย สิงคโปร์ไปคุยกันตั้งแต่เริ่มเฟส 3 เริ่มทดลองกับมนุษย์แล้ว
ล่าสุด ทางด้าน นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่วิพากษ์วิจารณ์การออกประกาศของ ศบค.เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 และการบริหารจัดการวัคซีน โดยย้ำว่า การออกประกาศต่างๆ นั้น ก็เพราะอยากให้สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิดคลี่คลายลง เนื่องจากเห็นว่า ทั้งการรับประทานอาหารในร้านนั้น เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ส่วนแคมป์คนงาน เป็นที่ที่มีการแพร่ระบาดต่อเนื่อง ทั้งนี้ มีระยะเวลา 1 เดือน และตลอดทั้งเดือนภาครัฐได้มีการเยียวยา บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนด้วย
ส่วนการบริหารจัดการวัคซีนนายกฯ รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ ร่วมมือกันทำงานอย่างหนักในการจัดหาวัคซีน และนำมาฉีดให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้มีวัคซีนทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และยังมีวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ อีกที่ อย.ได้อนุมัติ และมียี่ห้อที่รอขึ้นทะเบียนเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน ยืนยันว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่รัฐบาลได้วางเอาไว้อย่างแน่นอน
“นายโทนี่ไม่ต้องทำเป็นห่วงคนไทย ทั้งที่ตัวเองหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ สุขสบาย การที่นายโทนี่อยากจะอาสาจัดหาวัคซีนให้กับประเทศไทย แต่ตนเองมองว่านายโทนี่คงไม่ได้เป็นห่วงจริง เป็นคำพูดเพื่อให้ตัวเอง ดูดีว่าห่วงใยคนไทย แท้ที่จริงไม่ใช่เช่นนั้น ถ้าห่วงจริงทำไมจึงโดนคดีทุจริตมากมาย อีกทั้งคงไม่มีความจำเป็นที่จะมาช่วยเพราะนายกฯ รัฐบาล สามารถบริหารจัดการเองได้ และถ้านายโทนี่ เก่งกาจ มีความสามารถจริง ก็คงไม่ต้องระเห็ด หนีหัวซุกหัวซุนไปต่างประเทศ แล้วไม่ต้องมาอ้างว่าถูกกลั่นแกล้ง หรือกล่าวหากระบวนการยุติธรรม
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนายโทนี่ทำเองทั้งนั้น แค่ให้กลับมาสู้คดีในแผ่นดินเกิดตัวเองยังไม่กล้า นับประสาอะไรจะกล้าอาสามาช่วยโน่นช่วยนี่ ชนักเต็มหลังซะขนาดนั้น
นอกจากนี้ ยังเข้าใจว่า นายโทนี่ เป็นนักโทษหนีคดี สถานะคงจะทำอะไรเช่นนี้ไม่ได้ ซึ่งหากอยากจะช่วยประเทศไทย ขอให้ช่วยเคลียร์ตัวเองก่อน กลับมารับโทษที่ประเทศไทย จะสง่างามมากกว่าอยู่ต่างประเทศแล้วออกมาพูดเลอะเทอะ บิดเบือน ทำให้คนไทยเกิดความสับสน เข้าใจผิด สิ่งที่นายโทนี่จะช่วยประเทศไทยและคนไทยดีกว่าวัคซีน คือ หยุดพูดหยุดโจมตีป้ายสีคนอื่น นั่นคือ วัคซีนที่ดีที่สุด ที่นายโทนี่ ควรจัดหามาให้
อีกทั้งยังทิ้งท้ายว่า “การพูดให้ดูดีแต่เที่ยวไปด้อยค่าคนอื่น ไม่ใช่วิสัยของผู้นำที่ดี คนไทยสาปแช่งผู้นำที่ดีแต่พูดและคิดแต่โกงกินมากที่สุด ตรงข้ามคนไทยส่วนใหญ่จะชอบผู้นำที่ใจซื่อมือสะอาดไม่คิดโกงบ้านกินเมือง และไม่ต้องเป็นคนพูดเก่งพูดมากและบิดเบือนข้อมูลให้ประชาชนสับสนเกิดความแตกแยก คนไทยส่วนใหญ่คิดเช่นนั้นหวังว่านายโทนี่คงเข้าใจ”
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น โยงมั่วซั่ว “ช่อ” ปลุกปั่น ปชช.ต้าน กม.ยุเปิดร้านอาหาร! โชว์สมอง เซเว่นฯยังเปิดได้? เจอสังคมสวนกลับเจ็บจี๊ด!”
เนื้อหาระบุว่า จากกรณีที่เมื่อกลางดึกวันที่ 26 มิถุนายน 2564 ได้มีคำสั่ง จากศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เรื่อง พื้นที่ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตามข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ใจความสำคัญ กำหนดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือพื้นที่สีแดงเข้มใหม่ ประกอบด้วย 10 จังหวัด และประกาศข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 25) โดยคำสั่งฉบับนี้ ได้มีคำสั่งในเรื่องของการจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ซึ่งรวมถึงร้านที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าคอมมูนิตี้มอลล์ ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุมหรือสถานที่ จัดนิทรรศการ โรงแรม ท่าอากาศยาน สถานีรถไฟ สถานีขนส่ง ร้านสะดวกซื้อ ชูเปอร์มาร์เก็ต รถเข็น หาบเร่ แผงลอย ตลาด ตลาดนัด ตลาดน้ำ ตลาดค้าส่ง ตลาดโต้รุ่ง ฯลฯ ให้เปิดดำเนินการเฉพาะการนำกลับไปบริโภคที่อื่นเท่านั้น
ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากถึงกรณีดังกลา่ว เนื่องจากบางร้านได้มีการเตรียมวัตถุดิบที่จะนำมาประกอบอาหารเรียบร้อยแล้ว ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา จนทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารเป็นจำนวนมาก
ต่อมา ช่อ พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า “เซเว่นยังเปิดได้ทำไมร้านอาหารจะเปิดไม่ได้! เมื่อกฎหมายอยุติธรรม เป็นหน้าที่พลเมืองที่จะต่อต้าน ใครอยากร่วมแคมเปญเชิญกดลิงก์เข้าไปร่วมลงชื่อได้เลยค่ะ #กูจะเปิดมึงจะทําไม”
หลังจากมีการเผยแพร่โพสต์ออกไป มีการวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก เพราะว่าทางร้านสะดวกซื้อ เป็นการขายแบบ Take Home อยู่แล้ว และทางรัฐบาลก็ไม่ได้สั่งปิดแต่อย่างใด เพียงแค่ให้สั่งกลับไปรับประทานที่บ้าน ทำให้ชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นในโพสต์ดังกล่าว เป็นจำนวนมาก
ยุยงให้ผู้อื่นฝ่าฝืนกฎหมายไร้สติแบบนี้ จะควบคุมโรคได้ยังไง???
มันก็มีทั้งด้านดีและด้านเสียนะครับ อย่างเคสล่าสุดที่คนใกล้ตัวเจอ คือ พนักงานร้านที่ไปทานมีติดเชื้อ ทำให้คนที่ไปกินวันนั้นเป็นกลุ่มเสี่ยง พนักงานที่เข้างานวันนั้นอีกหลายคนก็เสี่ยง เราต้องคิดแผนปฏิบัติให้รอบคอบว่าสมมติถ้าเราเปิดขายจะจัดการป้องกันยังไง หลายๆ ร้านค่อนข้างหละหลวม
7 เค้าซื้อกลับ take out เท่านั้น ไม่ได้ให้นั่งกินในร้านนี่ เป็นถึงอดีต ส.ส. & จบตั้ง LSE อย่าซี้ซั้วทวีตมั่วดิ อายเค้า
ร้านอาหารเสี่ยงสุดในการแพร่เชื้อ เพราะมีการนำอาหารเข้าปาก เชื้อโรคมันก็สามารถปนเปื้อนเข้าไปได้ตอนถอดหน้ากากกินและดื่ม สังคมไทยอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ หากมีใครสักคนติดสามารถแพร่เชื้อให้สมาชิกในครอบครัวได้ ยิ่งต่างจังหวัดนี่กินน้ำแก้วเดียวกัน กระติกน้ำใบเดียวอันนี้น่ากลัว
มีใครเข้า 7-11 แล้วถอดหน้ากาก นั่งแดก? บริบทมันต่างกันนะ เทียบกันมั่วซั่วแล้ว
ทำไมคุณฉ้อถึงอยากพาคนไทยไปเสี่ยงตายกับโรคระบาดแถมยังผิด กม.อีกด้วยอ่ะครับ??
นอกจากนี้ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีเดียวกันตอนหนึ่งว่า
“...การที่ น.ส.พรรณิการ์ ให้การเชิญชวนให้ร้านอาหารฝ่าฝืนกฎหมายนั้น ต้องให้ข้อมูลครบถ้วนด้วยว่า ทุกร้านจะมีความผิดตามมาตรา 52 พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ และมีความผิดตามมาตรา 18 พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ ซึ่งคณะก้าวหน้า และ น.ส.พรรณิการ์ จะเข้าข่ายมีความผิดด้วยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด”
สิ่งน่าเห็นใจผู้ประกอบการร้านค้าที่เจอปัญหาโควิด-19 อยู่แล้ว ยังมาเจอนักต้มตุ๋นหลอกลวงวางหลุมพรางให้ร้านอาหารมีความผิดอีก ซึ่งคณะก้าวหน้า และ น.ส.พรรณิการ์ ผู้เชิญชวนก็เข้าข่ายต้องรับโทษในฐานะผู้ประกาศเชิญชวน มีความผิดด้วยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 วรรค 1
ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด และความผิดนั้นมีกำหนดโทษไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ผู้นั้นต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น” และหากร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการรับโทษ ทางคณะก้าวหน้า และ น.ส.พรรณิการ์ ผู้เชิญชวนจะต้องรับโทษด้วยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 วรรค 2 ที่บัญญัติว่า “ถ้าได้มีการกระทำความผิดเพราะเหตุที่ได้มีการโฆษณาหรือประกาศตามความในวรรคแรก ผู้โฆษณาหรือประกาศต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ”
“ขณะนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาและชดเชยให้กับร้านค้า ร้านอาหาร ผู้ประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงลูกจ้างก็สามารถใช้สิทธิรับการเยียวยา ทั้งจากรัฐและจากระบบประกันสังคม สถาบันการเงินของรัฐเพิ่มมาตรการกู้เงินดอกเบี้ยต่ำ และมีมาตรการพักหนี้พักดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และยังเร่งมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายเพื่อให้พ่อค้าแม่ขายผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น การกระทำของคณะก้าวหน้า น.ส.พรรณิการ์ และร้านอาหารที่จะเข้าร่วมกิจกรรมฝ่าฝืนกฎหมายนี้ นอกจากจะไม่ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว ยังทำให้ระบบเศรษฐกิจและระบบสาธารณสุขของประเทศถอยหลัง เป็นการทำความเสียหายให้เกิดต่อสุขภาพ ชีวิต และปากท้องของประชาชน”
แน่นอน, ประเด็นสำคัญอยู่ที่ การโหนสถานการณ์ที่ประชาชนกำลังเดือดร้อน เนื่องจากวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 เล่นเกมการเมือง แบบไม่สนใจ “ผิด-ถูก” รับผิดชอบ “ชั่ว-ดี” ของนักการเมืองบางกลุ่ม บางคน
โดยเฉพาะ “ขาประจำ” อย่าง “พี่โทนี่-แม้ว” ที่หนักไปทางเยาะเย้ยถากถางเหน็บแนม ด้อยค่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก่อกวนป่วนกระแส ไม่ให้มีสมาธิในการแก้ปัญหา หรือทำให้คนไทยเห็นว่า ล้มเหลวการในการแก้ปัญหาประเทศ พร้อมทั้งโชว์กึ๋นว่าตัวเองเก่งกว่า เพื่อเรียกคะแนนนิยม เรื่องนี้สาวกอาจชอบ แต่คนที่รู้ไส้รู้พุงอย่าง “แรมโบ้อีสาน” ที่เคยสู้เพื่อ “ทักษิณ” มาก่อน จึงมีข้อโต้แย้งอย่างเห็นได้ชัดดังกล่าว
ส่วน “ช่อ” พรรณิการ์ และ คณะก้าวหน้า ถ้าสังเกตมาตลอด ตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ก็จะเห็นได้ชัดว่า พวกเขาพยายามที่จะทำในสิ่งที่สวนทางกับนโยบายรัฐบาลมาตลอด
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด กรณีรัฐบาลเยียวยาผู้มีรายได้น้อย 5,000 บาท 3 เดือน คณะก้าวหน้าก็ทำโครงการ เมย์เดย์ เมย์เดย์ แจก 3,000 บาท โดยไม่ต้องตรวจสอบความจน ใครมาก่อนได้ก่อนทางออนไลน์ ซึ่งเงินที่นำมาแจก ได้จากการบริจาค ผลก็คือมีปัญหามาจนทุกวันนี้ ที่เคลียร์ไม่จบ เรื่องยอดบริจาค และโอนจริงหรือไม่ ซึ่งกำลังฟ้องร้องเป็นคดีอยู่กับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่ออกมากล่าวหาเรื่องนี้
กรณี รัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินป้องกันโรค ก็หาว่า ออกมาเพื่อป้องกันม็อบ และเรียกร้องให้ยกเลิก และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตปกติ รวมทั้งสนับสนุนการออกมาชุมนุมของม็อบราษฎร 2563 ทั้งที่เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ควบคุมโรคระบาด
เรื่องวัคซีนก็เช่นกัน พยายามโจมตีการจัดซื้อของรัฐบาล โยงสถาบันฯ จน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ถูกดำเนินคดี ม.112 กรณีด้อยค่าวัคซีนที่รัฐบาลจัดซื้อ และกรณีสร้างภาพความไม่มั่นใจให้กับประชาชน ในการฉีดวัคซีนของรัฐบาล แต่พวกตัวเองพากันไปฉีดก่อนประชาชน
กระทั่งล่าสุด ยุยงให้ร้านค้าฝ่าฝืนกฎหมาย โดยไม่สนใจ “ผิด-ถูก” หรือ “ชั่ว-ดี” ทั้งไม่รับผิดชอบต่อสังคมด้วย ทุกอย่างล้วนเป็นเกมการเมือง โดยไม่สนใจว่า บ้านเมืองมีกฎหมาย ไม่สนใจว่า ที่รัฐบาลทำเช่นนี้ไม่ใช่อยู่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ตัดสินใจ รัฐบาลมีคณะทำงานที่ประชุมปรึกษาหารือกันอยู่ตลอดเวลา วิเคราะห์ผลกระทบ ทั้งด้านบวก-ด้านลบ ในการป้องกันโรคระบาด ก่อนที่จะมีมาตรการออกมา
อย่าลืมว่า คนเหล่านี้เสนอตัวเป็น “ผู้นำ” คนรุ่นใหม่ เสนอตัวทำงานการเมืองแบบก้าวหน้าสร้างสรรค์ แต่ดูเอาเถอะวิสัยทัศน์ที่คิดได้แต่ละอย่าง คนไทยเชื่อมั่นได้แค่ไหน หรือ เห็นหัวประชาชน เห็นความเดือดร้อนจริงหรือไม่ หรือ เอาที่สะใจตัวเอง???