“ทิพานัน” ชี้ “ก้าวหน้า-ช่อ” เข้าข่ายผิดอาญา ม.84-85 โทษถึงคุก ปลุกแคมเปญ #กูจะเปิดมึงจะทำไม ฝ่าฝืนกฎหมายชัด ซัดซ้ำเติมวิกฤตร้านอาหาร ไม่สนประชาชนติดเชื้อเพิ่ม
วันนี้ (30 มิ.ย.) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่คณะก้าวหน้าเผยแพร่ข้อความทางเฟซบุ๊ก และ นางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า เผยแพร่ข้อความทางทวิตเตอร์เชิญชวนให้มีการต่อต้านกฎหมายภายใต้แคมเปญ #กูจะเปิดมึงจะทำไม พร้อมลิงก์รายละเอียด ให้ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เปิดขาย และให้นั่งทานในร้าน โดยมีข้อความยอมรับว่า เป็นการเชิญชวนให้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย กล่าวอ้างว่า มีทนายความและบุคคลเพื่อเจรจาจัดการเรื่องคดีความ ดังนั้น จึงเป็นการชัดเจนว่า คณะก้าวหน้าและ น.ส.พรรณิการ์ ผู้เชิญชวนรู้ว่าเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายและมีเจตนาชัดเจนที่จะให้มีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า นโยบายมาตรการที่รัฐบาลตัดสินใจเป็นการพยายามสมดุลระหว่างการควบคุมโรคเพื่อสุขภาพของประชาชนและให้มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงได้มีนโยบาย “จำกัดกิจกรรม” แทน โดยอนุญาตให้ร้านอาหารสามารถเปิดขายได้ แต่ไม่ให้มีการนั่งรับประทานอาหารในร้าน เพราะข้อมูลทางการแพทย์ชัดเจนว่า เชื้อที่ระบาดในกรุงเทพฯ พบว่า มีสายพันธุ์อัลฟา 75% และ เดลตา 25% ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ติดต่อกันง่ายกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมมาก การติดเชื้อปัจจุบันเป็นรูปแบบการติดเชื้อจากบุคคลสู่บุคคล และสาเหตุที่พบบ่อย คือ รับประทานอาหารร่วมกัน อีกทั้งผู้เสียชีวิต 1 ใน 3 พบประวัติรับประทานอาหารในร้านอาหารร่วมกับผู้อื่น ดังนั้น จึงต้องจำเป็นงดการรับประทานอาหารในร้าน แม้ว่าข้อเสนอของบุคลากรทางการแพทย์เรียกร้องให้มีการล็อกดาวน์เด็ดขาด เพราะระบบสาธารณสุขที่จะรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อติดขัดขาดแคลนก็ตามที
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ดังนั้น การที่ น.ส.พรรณิการ์ ให้การเชิญชวนให้ร้านอาหารฝ่าฝืนกฎหมายนั้น ต้องให้ข้อมูลครบถ้วนด้วยว่า ทุกร้านจะมีความผิดตามมาตรา 52 พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ และมีความผิดตามมมาตรา 18 พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ ซึ่งคณะก้าวหน้า และ น.ส.พรรณิการ์ จะเข้าข่ายมีความผิดด้วยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด”
สิ่งน่าเห็นใจผู้ประกอบการร้านค้าที่เจอปัญหาโควิด-19 อยู่แล้ว ยังมาเจอนักต้มตุ๋นหลอกลวงวางหลุมพรางให้ร้านอาหารมีความผิดอีก ซึ่งคณะก้าวหน้า และ น.ส.พรรณิการ์ ผู้เชิญชวน ก็เข้าข่ายจะต้องรับโทษในฐานะผู้ประกาศเชิญชวน มีความผิดด้วยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 วรรค 1 ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด และความผิดนั้นมีกำหนดโทษไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ผู้นั้นต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น” และหากร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการรับโทษ ทางคณะก้าวหน้า และ น.ส.พรรณิการ์ ผู้เชิญชวนจะต้องรับโทษด้วยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 วรรค 2 ที่บัญญัติว่า “ถ้าได้มีการกระทำความผิดเพราะเหตุที่ได้มีการโฆษณาหรือประกาศตามความในวรรคแรก ผู้โฆษณาหรือประกาศต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ”
“ขณะนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาและชดเชยให้กับร้านค้า ร้านอาหาร ผู้ประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงลูกจ้างก็สามารถใช้สิทธิรับการเยียวยาทั้งจากรัฐและจากระบบประกันสังคม สถาบันการเงินของรัฐเพิ่มมาตรการกู้เงินดอกเบี้ยต่ำและมีมาตรการพักหนี้พักดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และยังเร่งมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายเพื่อให้พ่อค้าแม่ขายผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การกระทำของคณะก้าวหน้า น.ส.พรรณิการ์ และร้านอาหารที่จะเข้าร่วมกิจกรรมฝ่าฝืนกฎหมายนี้ นอกจากจะไม่ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว ยังทำให้ระบบเศรษฐกิจและระบบสาธารณสุขของประเทศถอยหลัง เป็นการทำความเสียหายให้เกิดต่อสุขภาพ ชีวิต และปากท้องของประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว