“ท่านใหม่” เปิดพระราชหัตถเลขา ร.๗ “เจ้านายในกรุงเทพฯอาจจะถูกฆ่าหมด ฉันรู้สึกว่า ฉันจะนั่งอยู่บนราชบัลลังก์ที่เปื้อนโลหิตไม่ได้” น่าคิด “ดร.นิว” ชี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ใต้ระบอบเผด็จการ “3 นิ้ว” คิดเรื่องใหญ่ ไฮไลต์ “ถ่อย”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (24 มิ.ย. 64) เฟซบุ๊ก จุลเจิม ยุคล ของ ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” โพสต์ข้อความ ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงมีพระราชหัตถเลขาเป็นภาษาอังกฤษพระราชทานไปยังพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ โดยทรงเล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ปรากฏความว่า
“...ฉันรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งที่เขามิได้คิดจะถอดฉัน และฉันยังเสียใจอยู่จนบัดนี้ ความรู้สึกขั้นแรกก็คือจะลาออกทันที แต่สมเด็จกรมพระสวัสดิ์ฯ แนะนำว่า ไม่ควรทำ เพราะถ้าทำเช่นนั้นอาจมีการรบกันจนนองเลือด ทั้งยุ่งยากต่างๆ จนอาจมีฝรั่งเข้ามายุ่งและชาติเราอาจเสียอิสรภาพได้
ถ้าเราจะรบโดยใช้ทหารหัวเมืองหรือ นั่นเป็นของแน่ที่เราอาจทำได้ แต่ฉันไม่ยินยอมเลยแม้แต่ชั่วขณะเดียว เพราะเจ้านายในกรุงเทพฯ อาจจะถูกฆ่าหมด ฉันรู้สึกว่าฉันจะนั่งอยู่บนราชบัลลังก์ที่เปื้อนโลหิตไม่ได้ สมเด็จกรมพระสวัสดิ์ฯ แนะนำตลอดเวลาให้ยินยอมกลับกรุงเทพฯ และช่วยคณะราษฎรจัดตั้งการปกครอง โดยมีกษัตริย์และรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เป็นของที่ฉันเคยอยากจะทำมานานแล้ว แต่ว่าฉันเสียขวัญ
ในที่สุด มีทางจะทำได้ ๒ ทาง คือจะหนี หรือจะกลับกรุงเทพฯ ฉันยอมรับว่า ฉันตัดสินใจไม่ได้ทันทีว่าจะทำอย่างไรดี เราเพิ่งได้ยินคำแถลงการณ์ทางวิทยุกระจายเสียงอันรุนแรง ดูราวกับจะไปทางบอลเชวิค ถ้าเช่นนั้น การที่จะกลับไปให้เขาตัดหัว ดูออกจะไร้ประโยชน์ เป็นการเสียสละอันไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรเลย
แต่นั่นแหละ คำแถลงการณ์นั้น อาจเป็นถ้อยคำของผู้ที่ออกจะคิดสั้น และรุนแรงรวดเร็วจัดคนหนึ่ง และไม่ใช่นโยบายจริงของคณะ ฉันเลยตกลงใจเสี่ยง โดยให้ผู้หญิงเขาเลือก ทั้งหญิง (สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี) และหญิงอาภา (พระมารดา) ตกลงเลือกให้กลับอย่างแน่วแน่ และฉันเห็นว่าทั้งสองควรจะได้รับเกียรติอย่างเต็มที่ ในการตกลงใจอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนั้น เพราะในเวลานั้น เราอาจจะกลับไปสู่ความตายก็ได้ ผู้หญิงเขาเลือกเอาความตายดีกว่าการเสียศักดิ์ เท่านั้นก็พอแล้วสำหรับฉัน...”
ที่มา หนังสือเกิดวังปารุสก์ เล่ม ๒.”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas โพสต์ข้อความ เรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยภายใต้ระบอบเผด็จการ”
โดยระบุว่า “นับตั้งแต่ 24 มิถุนา 2475 คณะราษฎรปล้นพระราชอำนาจ ช่วงชิงอำนาจอธิปไตยจากสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นของคณะราษฎรเสียเอง โดยไม่ได้ถ่ายโอนอำนาจอธิปไตยนั้นไปสู่ประชาชน จึงเป็นการเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไปสู่ระบอบเผด็จการอีกรูปหนึ่ง
89 ปี ภายใต้ระบอบเผด็จการคณะราษฎร จึงเต็มไปด้วยความเห็นผิด และการถือแนวทางที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ ไม่ได้สร้างประชาธิปไตย หากแต่สร้างลัทธิรัฐธรรมนูญหลอกลวงประชาชน ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือประชาธิปไตย จนแม้กระทั่งอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญก็ยังถูกเรียกว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เราจึงไม่เคยมีประชาธิปไตยมาตั้งแต่แรก และมีอำนาจอธิปไตยของปวงชนเป็นจริงแค่ในกระดาษ
เมื่ออำนาจอธิปไตย ยังคงตกอยู่ในมือของคนส่วนน้อย นับตั้งแต่คณะราษฎรเป็นต้นมา การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงไม่เคยเป็นไปเพื่อประโยชน์ของปวงชน การเลือกตั้งก็เช่นกัน แม้การเลือกตั้งจะเป็นวิธีการทางประชาธิปไตยก็จริง แต่หากถูกนำมาใช้โดยระบอบเผด็จการ การเลือกตั้งก็จะกลายเป็นเครื่องมือในการกระชับอำนาจไปโดยปริยาย เพราะแม้แต่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เองก็มาจากการเลือกตั้ง
ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง จึงต่างไม่ใช่ทางออกของปัญหาในสถานการณ์ปัจจุบัน หากแต่เป็นการทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริงเท่านั้น ที่จะสามารถสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามหลักวิชา ตลอดจนเขียนรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยขึ้นมา เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยได้สำเร็จลุล่วง ตามลำดับ
ระบอบเผด็จการไม่ได้เป็นคุณต่อทั้งประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เพียงแต่ประชาชนภายใต้ระบอบเผด็จการจะได้รับความเสียหายอย่างมหาศาล สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบเผด็จการเองก็ได้รับความเสียหายอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน นอกจากจะถูกลิดรอนบทบาทและพระราชอำนาจอันพึงมีในการถือดุลการปกครองและรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ยังถูกโยนบาปให้กลายเป็นเผด็จการไปเสียอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ที่โซเชียลมีเดียถูกนำมาใช้ปั่นกระแสบิดเบือน สร้างความเกลียดชังและอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์บนพื้นฐานของความเห็นผิดทั้งปวง เพื่อขัดขวางไม่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์สร้างประชาธิปไตยให้กับประชาชน
มีแต่แนวทางประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์เท่านั้น ที่เป็นกำลังสำคัญของประชาชนในการสร้างประชาธิปไตยให้เป็นผลสำเร็จ หากประชาชนรวมใจกันขอพึ่งพระบารมี เกิดมหาประชามติร่วมกันแสดงเจตจำนงของประชาชน ขอพระราชทานระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เป็นธรรม เมื่อนั้นพระมหากษัตริย์ย่อมไม่อาจปฏิเสธเจตจำนงของประชาชนได้ ย่อมต้องขานรับต่อเสียงอันแท้จริงของประชาชน
เมื่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยชอบธรรม ผนึกกำลังกับสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยมาแต่เดิม ซึ่งได้วางรากฐานของชาติและระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น ย่อมสามารถปลุก "อำนาจสถาปนาประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์" ให้ทรงพระราชทานประชาธิปไตยตามแนวทางที่ถูกต้อง อันเป็นการสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เป็นธรรมขึ้นตามหลักวิชาอย่างแท้จริง อันเป็นรูปธรรมของ “การปฏิวัติประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติ”
#ปลุกอำนาจสถาปนาประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์”
ก่อนหน้าไม่นาน “ดร.นิว” โพสต์ถึงการชุมนุมของ คณราษฎร 2563 หรือ ม็อบ 3 นิ้ว ว่า
“สัมปทานดาวเทียมรอบใหม่อาจกำลังถูกฮั้วประมูลในไม่ช้า แต่พวกสามนิ้วยังคงจมปลักดักดานอยู่กับเผด็จการคณะราษฎร 2475 ไม่ยอมเลิก”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า
“อย่างน้อย สื่อก็ตื่นทันมาช่วยเติมม็อบ” หรือ เป็นการสะท้อนจำนวนม็อบที่น้อยลงอย่างเห็นชัด
ด้าน เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็นที่เป็น “ไฮไลต์” ของวันนี้ก็ว่าได้
“ถ่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน! คลิปชัดๆ นาที “การ์ดม็อบ” ฉวยไม้ ก่อเหตุรุนแรง!? วิ่งกรูต่อย “ชายเสื้อเหลือง” ปาของใส่วุ่น!”
เนื้อหาระบุว่า “จากกรณีที่ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะตัวแทนฝ่ายวิปรัฐบาล ได้เดินทางมารับมอบหนังสือบนเวทีของกลุ่มคณะราษฎร บริเวณหน้ารัฐสภา ในขณะแกนนำมอบจดหมายเปิดผนึกของกลุ่มราษฎรให้กับนายสิระ ได้มีเสียงโห่ร้อง ตะโกนไล่ ไม่เชื่อใจรัฐบาล เเละบอกให้กลับไป
จากนั้นนายสิระได้ลงจากเวที และได้ถูกกลุ่มมวลชนที่มาร่วมชุมนุม ปาขวดน้ำเเละเเก้วน้ำ รวมทั้งมีรายงานว่า นายสิระถูกชกเข้าที่ขมับ 1 หมัด ทำให้ต้องรีบวิ่งกลับเข้าไปในรัฐสภา
จากนั้น ทวิตเตอร์เจ้จุก คลองสาม ได้โพสต์คลิปเหตุการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุม ได้เข้าไปทำร้ายชายสวมเสื้อสีเหลือง พร้อมกับระบุข้อความว่า หลังจากไล่ทำร้าย ส.ส.สิระ แต่ทำไม่ได้เต็มที่ อารมณ์ค้างก็เลยไปลงกับชายเสื้อเหลืองคนนี้ต่อ เหมือนหมาบ้า เจออะไรที่ไม่ถูกใจกูไล่กัดหมด กลางวันแสกๆ ยังกล้าไล่ทำร้ายคนได้ขนาดนี้ น่ากลัวมากๆ พื้นที่ชุมนุมกลายเป็นดินแดนที่ไร้ซึ่งกฎหมายไปแล้ว
หลังจากนั้น ก็ได้โพสต์คลิปพร้อมกับระบุข้อความอีกว่า คลิปจังหวะที่พวกม็อบถ่อยไล่ทำร้าย ส.ส. สิระ เจนจาคะ ไม่รู้โดนสารพัดสิ่งขว้างใส่หัวจนบาดเจ็บหรือไม่ ม็อบสามกีบพวกนี้ยังคงรักษามาตรฐานเดิมเอาไว้ได้อย่างดี คือ ถ่อย สถุน และกักขฬะ มากๆ คนที่เชียร์ม็อบนี้อยู่ รับได้ไงกับเรื่องแบบนี้” (ดูคลิป จาก เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH)
แน่นอน, สิ่งที่น่าสนใจ จากการรำลึก 24 มิถุนายน 2475 ครั้งนี้ มีทั้งสองด้านให้เห็น คือ ด้านที่ถูกบันทึกว่า เป็นการปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตยครั้งแรกของประเทศไทย ของ “คณะราษฎร” และการถ่ายโอนอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่ถูกปฏิวัติ ในขณะที่ทรงพร้อมให้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้น ยังมีมุมที่น่าสนใจจากความเห็นของนักวิชาการ คือ “อำนาจ” ที่ประกาศว่า เป็นของ “ปวงชนชาวไทย” นั้น ไม่เคยเกิดขึ้นจริง หลังปฏิวัติ 2475 ถึงปัจจุบัน จริงหรือไม่คนไทยน่าจะรู้ดีที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เห็นว่า การเรียกร้องประชาธิปไตยของคนจำนวนหนึ่ง พยายามด้อยค่าสถาบันฯ เรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันฯ” แต่มีพฤติกรรมเหมือน “อันธพาล” ข้างถนน ถ่อยเถื่อน ชอบความรุนแรง ซึ่งย้อนแย้งกับ ผู้นำคนรุ่นใหม่ อนาคตของประเทศ และคิดการใหญ่เปลี่ยนแปลงประเทศ และแม้แต่วันรำลึกค่าอันยิ่งใหญ่ที่พวกคลั่งไคล้ และสานต่อภารกิจ ก็ยังมี “ไฮไลต์” ผ่านสื่อ แค่ “โชว์ถ่อย” แบบรักษามาตรฐานเอาไว้ได้เป็นอย่างดีเท่านั้น หรือไม่จริง?