xs
xsm
sm
md
lg

“ทักษิณ-พท.” ตีปีก แก้ รธน. “แลนด์สไลด์” ชิงเบอร์ 1 กับ “พปชร.” ล้านชื่อรื้อระบอบประยุทธ์ แป้ก 70 วันหลักหมื่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายทักษิณ ชินวัตร ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊กRangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม
แก้ รธน. ฝ่ายค้านตีกันเละ ระบุเลือกตั้งบัตร 2 ใบ ทุกฝ่ายยอมรับ “โรม” ชี้ แลนด์สไลด์ ล่อใจ “ทักษิณ-พท.” เตือนอย่าเล่นตามเกม “พปชร.” คณะก้าวหน้า “แป้กหนักมาก” เปิดตัวเลขสุดช็อก ล่า “1 ล้านชื่อรื้อระบอบประยุทธ์” 70 วัน แค่หลักหมื่น

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (16 มิ.ย. 64) เฟซบุ๊ก Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม ของ นายรังสิมันต์ โรม รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แสดงความเห็นต่อกระแสการแก้รัฐธรรมนูญ หัวข้อ

“แลนด์สไลด์…ไปทางไหน? เพื่อใคร? เพื่อไทย? เพื่อประชารัฐ?”

โดยระบุว่า “ถึงตอนนี้ ผมคิดว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจุดมุ่งหมายของพรรคเพื่อไทยในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดยเฉพาะในเรื่องระบบการเลือกตั้งที่ยอมเล่นตามเกมของพรรคพลังประชารัฐ รื้อกรอบจำนวน ส.ส. พึงมีออกไป แล้วไปเน้นหนักที่การเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต 400 คน (เพิ่มจากเดิมขึ้นมา 50 คน) ก็คงเป็นอย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวไว้ คือ เพื่อหวังให้เกิดการเทคะแนนไปที่พรรคใดพรรคหนึ่งอย่างเต็มที่ ด้วยข้ออ้างว่าหากเป็นเบี้ยหัวแตกแล้วจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ยาก

พูดง่ายๆ คือ หวัง “แลนด์สไลด์” แบบที่ตัวเองเคยได้ในอดีต โดยค่อยไปวัดพลังกับพรรคพลังประชารัฐเอาดาบหน้า

ภาพ บิ๊กป้อม บิ๊กตู่ ทักษิณ ขอบคุณภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ในที่นี้ ผมคงไม่ลึกลงรายละเอียดถึงปัญหาเชิงหลักการของข้อเสนอระบบการเลือกตั้งดังกล่าว เพราะทั้งผมและพรรคก้าวไกลได้พูดไปพอสมควรแล้วก่อนหน้านี้ แค่ขอย้ำว่า ระบบการเลือกตั้งดังกล่าวมีปัญหาแน่ๆ ในการทำให้สัดส่วนระหว่างจำนวน ส.ส. ของแต่ละพรรคการเมืองกับจำนวนประชากรที่เลือกพรรคการเมืองนั้นๆ ไม่เหมาะสมกัน บางพรรคจะได้ ส.ส. เกินส่วนประชาชนที่เลือก ในขณะที่บางพรรคก็จะได้ ส.ส. ขาดส่วนประชาชนที่เลือกเช่นกัน

แต่แค่อยากจะขอถามไปยังพรรคเพื่อไทย ว่า “แลนด์สไลด์” ที่คาดหวังนี้ จะไปในทิศทางไหนกันแน่?

อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วเช่นกันว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นเพียงอวัยวะหนึ่งของฝ่าย คสช. ที่เข้ามาชิงพื้นที่ในเวทีสภา คสช. ยังมีอวัยวะอื่นๆ อีกมากมายที่จะใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจตั้งแต่ในต้นทางคือควบคุมการเลือกตั้งไปจนถึงการรักษาสถานะของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น กกต. ส.ว. ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระอื่นๆ ตลอดจนระบบราชการ

ในวันนี้พรรคพลังประชารัฐเลือกที่จะแก้ระบบการเลือกตั้งเพื่อหวังขยายจำนวน ส.ส. ของตัวเองในอนาคตให้เกินกรอบจำนวน ส.ส. พึงมี ซึ่งมีปัญหาทั้งในเชิงหลักการอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น และทั้งยังแสดงให้เห็นถึงเจตนาร้ายของพรรคพลังประชารัฐที่หวังใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจเท่านั้น

การที่พรรคเพื่อไทยไปร่วมเห็นชอบกับระบบการเลือกตั้งดังกล่าวด้วยนั้น หากผลปรากฏว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นฝ่ายที่ใช้ประโยชน์จากระบบดังกล่าวได้ดีที่สุดและชนะเลือกตั้งไป จะยิ่งเป็นการเพิ่มความชอบธรรมแก่พรรคพลังประชารัฐ เพราะถือว่าผ่านการเลือกตั้งในระบบที่พรรคใหญ่ของฝ่ายค้านเองก็ยังรับรอง (แม้จะมีปัญหาเชิงหลักการก็ตาม) และเมื่อประกอบกับกลไกอวัยวะอื่นๆ ของ ฝ่าย คสช. ที่ยังคงอยู่เพื่อคอยรักษาสถานะทางอำนาจไว้แล้ว การจะตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะยากยิ่งขึ้นไปอีก หากผลออกมาเป็นเช่นนี้แล้วพรรคเพื่อไทยจะรับผิดชอบอย่างไร?

นอกจากนี้ ยังต้องถามพรรคเพื่อไทยอีกว่า “แลนด์สไลด์” นี้ เป็นไปเพื่อใคร?

เพราะเห็นได้ชัดเลยว่า ที่พูดเรื่องการต้องให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ที่อ้างว่าต้องไม่เป็นเบี้ยหัวแตก ทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนแต่มุ่งหวังให้คะแนนเทมายังพรรคเพื่อไทย ที่มีความพร้อมมากกว่าหลายๆ พรรคในการหาเสียงเลือกตั้งแบบแบ่งเขต แล้วปล่อยให้พรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ต้องต่อสู้ดิ้นรนในเวที ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่มีเพียง 100 คน หรือเพียง 20% ของทั้งสภากันไป เรียกได้ว่า พรรคเหล่านี้คือผู้ที่จะต้องจมอยู่ใต้แลนด์สไลด์ที่เกิดขึ้น

แต่แล้วการที่เป็นเช่นนี้มันเป็นประโยชน์กับประชาชนจริงหรือ? สิ่งที่ควรมุ่งสร้างให้เกิดขึ้นมากกว่า คือ ระบบที่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดมีที่ยืนอยู่ร่วมกันได้ เข้มแข็งไปด้วยกันได้มิใช่หรือ? การที่ในสภามีทั้งพรรคที่มุ่งเน้นการเข้าถึงปัญหาของชาวบ้าน พรรคมุ่งเน้นการแก้ปัญหาโครงสร้าง พรรคที่มุ่งเน้นการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน พรรคที่มุ่งเน้นความหลากหลายทางวัฒนธรรม ฯลฯ นี่คือสภาที่ควรเป็นมิใช่หรือ? ถ้าใช่แล้วทำไมพรรคเพื่อไทยจึงมีข้อเสนอไปในทางที่จะทำลายสิ่งเหล่านี้ลง?

และหากพรรคเพื่อไทยยังดึงดันในข้อเสนอนี้ แล้วผลปรากฏว่า ชัยชนะกลายเป็นของพรรคพลังประชารัฐไป ถึงตอนนั้นแล้วจะยังมีพรรคไหนที่มีกำลังมากพอที่จะร่วมสู้ด้วยกันได้? จะยังมีพรรคไหนที่อยากจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพรรคเพื่อไทยอีก?

ผมและพรรคก้าวไกล ยังคงยืนยันว่าระบบการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 นั้นมีปัญหาแน่ๆ การใช้บัตร 2 ใบดีกว่าแน่ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่ว่าหากไม่เอาระบบตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 แล้วจะต้องหันไปเอาระบบตามที่พรรคเพื่อไทย (และพรรคพลังประชารัฐ) เสนอมาเท่านั้น ยังมีระบบการเลือกตั้งอื่นที่สะท้อนเจตจำนง ซื่อตรงต่อเสียงของประชาชนได้มากยิ่งกว่า 2 ระบบนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกพรรคการเมืองในระยะยาวรวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย ผมหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะทบทวนการตัดสินใจของตัวเอง อย่าได้คล้อยตามสิ่งล่อใจเพียงชั่วครู่ชั่วคราวจนยอมรับในระบบที่ยังมีปัญหาเชิงหลักการแล้วเอาชะตากรรมของประชาชนไปแขวนอยู่บนความไม่แน่นอนเลยครับ”

ภาพ นายรังสิมันต์ โรม จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH ก็โพสต์ในทำนองเดียวกัน หัวข้อ “ชัดเจน!! ทิศทางแก้ รธน. ทุกฝ่ายขานรับเลือกตั้งบัตร 2 ใบ "เพื่อไทย" ยิ้มร่า มีโอกาสขึ้นเป็นใหญ่
#ทิศทางแก้รธน. #รับเลือกตั้งบัตร 2 ใบ #เพื่อไทย

โดยสาระสำคัญระบุว่า “หลังจากพรรคเพื่อไทย จัดเสวนา “แก้รัฐธรรมนูญ แก้วิกฤติประเทศอย่างไร เพื่อไทย มีคำตอบ” ได้ย้ำจุดยืนชัดว่า ต้องการระบบเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ...

รวมทั้งการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เห็นพ้องต้องกันว่า ต้องการแก้ไขให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แต่ยังมีพรรคภูมิใจไทย และพรรคภราดร ที่ยืนยันจะเอาบัตรใบเดียว งานนี้ต้องรอจับตาดูว่า พลเอก ประยุทธ์ จะเดินไปไหนทิศทางไหน เพราะ พลเอก ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็มีความชัดเจนเช่นกันว่า ต้องการบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ซึ่งเรื่องนี้ กลุ่ม “3 ป.” ก็เปิดเผย ออกมาแล้วว่าจะไม่มีการยุบสภาในเวลาอันใกล้ โดยมุ่งเป้าอยู่จนครบเทอม และสำหรับไทม์ไลน์การแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ การแก้รัฐธรรมนูญจะเสร็จสิ้นวาระ 1-3 ไม่เกินเดือน ส.ค. 2564 นี้

ส่วนทางด้านพรรคฝ่ายค้าน ก็เริ่มเสียงแตกมาตั้งแต่ต้น เนื่องจากพรรคเพื่อไทย ขอแยก เดินหน้าวางพรรคพลังประชารัฐ เพื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของตัวเอง ที่สำคัญเสนอแก้ระบบการเลือกตั้งมาใช้บัตร 2 ใบ ทำให้เสียงของฝ่ายค้าน กระเด็นไปคนละทาง เพราะบัตร 2 ใบนั้น ส่งผลเสียต่อพรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ อย่างมาก เพราะโอกาสที่จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ มีน้อยลง

ภาพ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ขอบคุณภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
และจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH เช่นกัน โพสต์หัวข้อ “แป้กหนัก คนไทยตาสว่าง!? เปิดตัวเลขสุดช็อก “คณะก้าวหน้า” ลั่นล่า 1 ล้านชื่อ รื้อระบอบประยุทธ์ ผ่านมา 70 วัน พลิกลิ้นลดจำนวนคน เข้าร่วมแค่หลักหมื่น

#คณะก้าวหน้า #ล่ารายชื่อ #เข้าร่วมหลักหมื่น”

โดยเนื้อหาระบุว่า “สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2564 ที่ผ่านมา ทางคณะก้าวหน้า ออกกำหนดการเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมการเเถลงข่าวเปิดแคมเปญ “ขอคนละชื่อ รื้อระบอบประยุทธ์”

ชวนประชาชนลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญ เปิดทางสู่ประชาธิปไตย ในวันที่ 6 เม.ย. เวลา 15.00 น. ที่ห้องอเนกประสงค์ 1 หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ ของ “Re-Solution ถึงเวลารัฐธรรมนูญใหม่” ที่เป็นความร่วมมือของคณะก้าวหน้า กลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า พรรคก้าวไกล และโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ซึ่งทางด้านสำนักงานเขต กทม. ออกมาประกาศว่า ไม่ให้รวมตัวที่หอศิลป์ เนื่องจากมีคนมาจำนวนมาก และกิจกรรมมีแนวโน้มว่าจะไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ อีกทั้งยังเป็นเรื่องทางการเมืองมากเกินไป จึงได้มีการย้ายสถานที่จัดงาน มาเป็นห้องประชุมที่ มธ.ท่าพระจันทร์

ภาพ ตัวเลขที่ทางเว็บไซต์อัพเดทข้อมูลไว้ ขอบคุณภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าว เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 64 มีคนดังที่หนุนม็อบ 3 นิ้ว เข้าร่วมจำนวนมาก เช่น นายพริษฐ์ วัชรสินธุ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล และในช่วงท้ายจะมี น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล มาขึ้นพูดปราศรัย เชิญชวนให้มีการลงชื่อ โดยก่อนหน้าจะเริ่มแคมเปญดังกล่าว นายปิยบุตร เเสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เปิดเผยว่า 6 เดือนนับจากนี้ จะนำทัพคาราวานเดินสายทั่วทุกภาค ตั้งเป้าล่ารายชื่อ 1 ล้านรายชื่อ

โดยจะชูประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา เพื่อรื้อนั่งร้านระบอบสืบทอดอำนาจ อาทิ ยกเลิก ส.ว. ปฏิรูปที่มาศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ เพื่อไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือฝักฝ่ายการเมืองใช้จัดการฝ่ายตรงข้าม รวมถึงยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติและกฎหมายปฏิรูปประเทศ เป็นต้น โดยหลังจากเปิดตัวเเคมเปญที่ กทม.แล้ว นายปิยบุตร จะเริ่มเดินสายไปที่ 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น และปัตตานี

ล่าสุด ผ่านมาเป็นระยะเวลา 70 กว่าวันแล้ว ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2564 ที่ผ่านมา ที่อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ กลุ่ม Re-Solution นำโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า นายพริษฐ์ วัชรสินธุ นายเอกพันธุ์ ปิณพวณิช และ น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล ร่วมกันแถลงถึงการเข้าชื่อประชาชนแก้รัฐธรรมนูญ “ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์” ยื่นต่อผู้เชิญชวน 20 คน เพื่อดันร่างฉบับนี้เข้าสภา โดยคณะก้าวหน้า ได้กล่าวว่า เราจึงมีความจำเป็นต้องเร่งเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญกำหนดจำนวน 50,000 รายชื่อ เพื่อนำร่างแก้ไขฉบับนี้เข้าไปประกบกับร่างอื่นๆ ในสภา ซึ่งเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 1 ล้านรายชื่อ

และเมื่อตรวจสอบเว็บไซต์ที่คณะก้าวหน้าเปิดให้ประชาชนลงชื่อ นับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 64 - 16 มิ.ย. 2564 และทางเว็บไซต์ได้อัปเดตข้อมูลไว้ จนถึงวันที่ 12 มิ.ย. 64 มีคนลงชื่อทั้งหมด ที่ระบุว่า “มีแล้วกว่า 13,200 รายชื่อ” ยังขาดอีก 36,800 รายชื่อ ถึงจะครบตามจำนวน 50,000 ที่นายปิยบุตร บอกว่า ต้องได้รายชื่อส่วนนี้ ยื่นเข้าสภา แต่ยังห่างไกลตัวเลข 1 ล้านคนมาก

อย่างไรก็ตาม ในเพจเฟซบุ๊ก Street Hero Project ยังได้แสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้ด้วยว่า “หลังจากคณะก้าวหน้านำโดย ทอน ช่อ บูด ตั้งโต๊ะ ขอรายชื่อรื้อระบบประยุทธ์โดยมีเป้าหมาย 1 ล้านรายชื่อนั้น

ภาพ ตัวเลขที่ทางเว็บไซต์อัปเดตข้อมูลไว้ ขอบคุณภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
เริ่มเปิดโครงการตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 64 ผ่านมา 70 วัน ได้รายชื่อทั้งหมด 10,200 ชื่อ (ยอดอัปเดตใหม่ คือ 13,200 ชื่อ)

เฉลี่ยแล้วได้รายชื่อถึงวันละ 150 รายชื่อ หากต้องการให้ได้ตามเป้า คณะก้าวหน้าจะใช้เวลาเพียง 6,666 วันหรือประมาณ 18 ปี แค่นั้นเอง

สร้างความหวาดหวั่นและเป็นเรื่องช็อกให้กับหลิ่มจำนวนมาก”

แน่นอน, มีหลายประเด็นที่น่าคิด นับแต่ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไม พรรคก้าวไกล จึงแตกแยกกับพรรคฝ่ายค้านอื่น โดยเฉพาะเพื่อไทย ก็เนื่องจากแท้จริงแล้ว พรรคก้าวไกลต้องการแก้ รธน.ตามเจตนารมณ์ของคณะก้าวหน้า นั่นคือ แก้รัฐธรรมนูญ 60 ทั้งฉบับ ไม่เว้นหมวด 1 และ หมวด 2 (หมวดพระมหากษัตริย์) เพื่อล้มระบอบประยุทธ์ และปฏิรูปสถาบัน อย่างที่ม็อบคณะราษฎร เคลื่อนไหวเรียกร้อง จนแกนนำทำผิด ม.112 (หมิ่นสถาบันฯ) หลายคนนั่นเอง

ประเด็นต่อมา พรรคก้าวไกล มีวาระพิเศษดังกล่าว ทำให้ยากที่จะทำงานการเมืองร่วมกับพรรคการเมืองอื่นได้ เพราะพรรคอื่น ยังมีความจงรักภักดี และไม่เห็นด้วยที่จะแก้หมวด 1 และหมวด 2

ประเด็นที่สาม พรรคก้าวไกล เดินเกมตามเจตนารมณ์ของ คณะก้าวหน้า ดังนั้น เมื่อหัวเด็ดตีนขาด คณะก้าวหน้า ก็จะต้องแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และหมวด 1 หมวด 2 ให้ได้ ก็จะต้องโดดเดี่ยวตัวเองในการแก้ รธน. แบบไม่สนใจว่า ประชาชนจะคิดอย่างไร เรื่องจงรักภักดีต่อสถาบันฯ

ประเด็นสุดท้าย การที่คณะก้าวหน้า มีจุดยืนที่ชัดเจนมาตลอดต่อเรื่องสถาบันฯ ทำให้ เกม “ล่า 1 ล้านชื่อรื้อระบอบประยุทธ์” แป้ก เป็นครั้งที่สาม โดยสองครั้งแรกคือ การเลือกตั้ง นายก อบจ. และการเลือกตั้ง นายกเทศบาล ที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูป นั่นคือ สิ่งที่ประชาชนพิพากษาแล้ว

ดังนั้น หากมีการยุบสภา พรรคก้าวไกล ก็ไม่แน่จะถูกประชาชนพิพากษา เช่นเดียวกับคณะก้าวหน้าหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด!


กำลังโหลดความคิดเห็น