เมืองไทย 360 องศา
อาจเป็นเพราะยังเป็นช่วงบรรยากาศชุลมุน ฝุ่นยังคละคลุ้งก็เป็นได้ เพราะหลายเรื่องประดังประเดเข้ามาพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะแค่เรื่องการระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกที่สาม และต่อเนื่องมาจนถึงเรื่อง “วาระแห่งชาติวัคซีน” ที่ปูพรมฉีดมาตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน ที่ผ่านมา และยังต้องมาเจอกับการอภิปรายใน ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่เพิ่งผ่านสภาฯวาระแรกไปแล้ว ตามมาด้วยการพิจารณาพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯจำนวน 5 แสนล้านบาท ที่ผ่านสภาฯไปหมาดๆ
แม้ว่าในภาพรวมจะยังผ่านไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะในร่างกฎหมายการเงิน ที่ถือว่าเป็นกฎหมายสำคัญชี้ชะตารัฐบาลในเสียงโหวตยังไม่มีใครแตกแถว คะแนนโหวตทิ้งขาด ผ่านฉลุย ตรงกันข้ามมีแต่ฝ่ายค้านที่กลายเป็น “งูเห่า” เทเสียงมาให้นับสิบเสียง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันตามสภาพก็ต้องบอกว่า “เสียทรง” ไปไม่น้อย โดยเฉพาะภาพการอภิปราย “ซักฟอก” และวิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จากพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ แม้ว่าในที่สุดแล้วก็ยังโหวตสนับสนุนกันอย่างพร้อมเพรียงก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็เป็นการแสดงอาการไม่พอใจผ่าน “ตัวแทน” จากการถูก “ลดอำนาจ” และถูกรวบอำนาจสั่งการ ในช่วงเวลาสำคัญทางการเมืองที่จะต้องหาคะแนนเสียงในกระทรวงสาธารณสุข ที่มีกลไกทั้งงบประมาณ และบุคลากรจำนวนมากทั่วประเทศแบบนี้
หากพิจารณาจาก “หน้าฉาก” ก็จะไม่เห็นคำพูดรุนแรงออกมาจากปากของระดับแกนนำพรรค อย่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แต่การที่บรรดาลูกพรรคสายตรงลุกขึ้นอภิปรายร่างกฎหมายงบประมาณ และ พ.ร.ก.เงินกู้อย่างรุนแรง ซัด “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าไปเต็มๆ มันก็มองอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากได้รับ “ไฟเขียว” เป็นการส่งสัญญาณทางอารมณ์บางอย่างให้เห็น แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ “การแสดง” แต่ก็ต้องนำกลับมาคิดกันบ้าง
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในภาพรวมทางการเมืองเวลานี้ นอกเหนือจากความ “คุกรุ่น” ในพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ยังมีการเคลื่อนไหวจากภายนอกสภาฯ ที่อย่างน้อยเห็นการโหมโรงเขย่าหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จากเครือข่ายโดยตรงและ แบบ “รวมการเฉพาะกิจ” ของ “โทนี่แม้ว” นายทักษิณ ชินวัตร ที่มีทั้งออกมาขย่มรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แรงและถี่ขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงความบังเอิญที่สอดคล้องกับบรรดากลุ่มการเมืองหลายกลุ่มที่เคลื่อนไหวสอดรับกันพอดีในภารกิจไล่ “ลุงตู่” ด้วยการกดดันให้ “ลาออก” อย่างเดียว โดย “ไม่เอายุบสภาฯ”
อีกด้านหนึ่งสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นาทีนี้ถือว่า “เก๋าเกม” ไม่เบาอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่ในอำนาจต่อเนื่องมานานกว่า 7 ปี กำลังก้าวสู่ปีที่ 8 แม้ว่าภาพที่หลายคนมองว่า กระแสเริ่มลด แต่ขณะเดียวกัน เชื่อว่า “แรงหนุน” ก็ยังมีเป็นกอบเป็นกำอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับฝ่ายตรงข้ามก็ถือว่ายัง “ห่างชั้น” กันอยู่
ที่น่าจับตาก็คือ คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เพิ่งย้ำในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันก่อน ระบุว่า รัฐบาลเหลือเวลาเพียงแค่ 1 ปี พร้อมกับเร่งเร้าให้ทุกคนสร้างผลงานให้เป็นที่จับต้องได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงรัฐบาลยังมีวาระเหลืออยู่ราว 1 ปี 9 เดือน แต่การที่บอกว่า รัฐบาลมีเวลาอีก 1 ปี มองอีกมุมมันก็เหมือนกับการ “ส่งสัญญาณ” บางอย่างออกมา โดยเฉพาะการ “ยุบสภาฯ” ที่หลายพรรคยังไม่อยากให้เกิดขึ้น และอีกทางหนึ่งก็อาจเป็นการ “ข่มขวัญ” บางพรรคไปด้วย
อย่างไรก็ดี แม้ว่าหากสำรวจสอบถามบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ แล้ว ยังมั่นใจว่า ยังไม่อยากให้ “ยุบสภาฯ” ในช่วงเวลาก่อนกำหนด แต่ขณะเดียวกัน มันก็เริ่มเห็นสัญญาณที่ว่านั้น “แรงขึ้น” จนผิดสังเกต และที่ต้องจับตาควบคู่กันไป ก็คือ มีความเคลื่อนไหวใน “พรรคพลังประชารัฐ” ที่มาพร้อมกับข่าวการ “เปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรค” คนใหม่ จากคนปัจจุบันคือ “นายอนุชา นาคาศัย” ที่เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปเป็นคนอื่น ซึ่งตามข่าวเวลานี้ก็มีชื่อของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และรองหัวหน้าพรรค
ล่าสุด มีการนัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพลังประชารัฐ ในวันที่ 18 มิถุนายน ที่จังหวัดขอนแก่น โดยอ้างสาเหตุที่ต้องย้ายสถานที่จากกรุงเทพฯ ไปต่างจังหวัดดังกล่าว เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด แต่ขณะเดียวกัน เมื่อย้ายไปที่ขอนแก่น นั่นเท่ากับว่า โอกาสที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขาธิการพรรคมาเป็น “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” มีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นมาก
อย่างน้อยที่จังหวัดขอนแก่น ที่พรรคพลังประชารัฐเพิ่งปักธงเพิ่ม ส.ส.จากการเลือกตั้งซ่อมเมื่อหลายเดือนก่อน โดยการเอาชนะผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย และในครั้งนั้นคนที่เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อม ก็คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นี่แหละ รวมไปถึงการเลือกตั้งอีกหลายพื้นที่ แม้กระทั่งล่าสุดในการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ผู้สมัคของพรรคพลังประชารัฐ เอาชนะผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ ในสายของ “นายเทพไท เสนพงศ์” รุกคืบกินพื้นที่ภาคใต้เข้ามาอีก
แน่นอนว่า การชนะการเลือกตั้งย่อมมีหลายองค์ประกอบกัน แต่อย่างน้อยบทบาทของผู้ดูแลการเลือกตั้ง ซึ่ง ร.อ.ธรรมนัส ที่ระยะหลัง ได้ทำหน้าที่ “เคลียร์” หลายอย่าง กลายเป็นมือทำงาน และถูกเรียกใช้มากขึ้น โดยเฉพาะมีการเข้าออกห้องทำงานของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคบ่อยขึ้น และแม้ว่าภาพลักษณ์ ของ ร.อ.ธรรมนัส ในกระแสภายนอกอาจไม่เป็นบวก แต่สำหรับบางภารกิจถือว่าเขาทำได้ไม่เลว โดยเฉพาะภารกิจการเลือกตั้ง
ดังนั้น นาทีนี้แม้จะว่าไปแล้วสำหรับ นายอนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรคคนปัจจุบัน ยังไม่ได้ทำความเสียหายให้กับพรรค แต่หากพิจารณาในบางพรรค ภารกิจเช่นการเลือกตั้งที่จะต้องเกิดขึ้น ที่อาจมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ซึ่งทุกอย่างอยู่ที่ประชุมพรรควันที่ 18 มิถุนายนนี้ แต่ถือว่าน่าจับตามาก !!