อย่างนี้ต้องจัด! “ดร.อานนท์” เปิดข้อมูลตอกหน้า “ช่อ” จ้องโจมตี “แอสตร้าฯ” ไม่รู้จักศึกษาข้อมูล “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ชื่นชมมหกรรมวัคซีน เทียบนักการเมืองโกหกคำโต “ดร.นิว” เฉลย! “ศักดิ์เจียม-สุรชัย” มั่วมอมเมาอยู่ได้ เพราะทุนเผด็จการ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (11 มิ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ข้อความที่มีเนื้อหาจาก truthforyou.co ระบุว่า
“จากกรณีที่รัฐบาลเริ่มปฏิบัติการปูพรมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วประเทศ โดยในหลายจังหวัดได้มีประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่อมา นางสาวพรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ได้ตั้งคำถามว่า การฉีดวัคซีนในครั้งนี้ ทำไมถึงมีการทิ้งช่วงในการฉีดเข็มที่สองเป็นเวลานานหลายสัปดาห์
ซึ่งต่อมา ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวแล้วว่า Sinovac คือ 2-4 สัปดาห์ AstraZeneca คือ 10-12 สัปดาห์ และพิจารณาให้เลื่อนได้ถึง 16 สัปดาห์ มีข้อมูลจากการศึกษาที่อังกฤษพบว่า เว้นระยะห่าง Astra 12 สัปดาห์ มีประสิทธิภาพดีกว่า
และต่อมายังมีการโจมตีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตโดย สยามไบโอไซเอนซ์ ล็อตแรก 1.8 ล้านโดส
ล่าสุด ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า
“ไม่รู้ว่า น้องขี้ฉ้อ จะออกมาโวยวายทำไมว่า วัคซีนโควิด-19 ของ AstraZeneca ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์ ผลิตมาตั้งแต่เดือนมีนาคม และเพิ่งเอามาฉีดเดือนมิถุนายน
ข้อแรก วัคซีนไม่ได้เสียอะไร ยังไม่หมดอายุ ฉีดเข้าไปยังใช้งานได้ ไม่ตาย
ข้อสอง SBS ผลิตได้มานานแล้ว แต่ส่งมอบไม่ได้ อันนี้ SBS เป็นผู้รับจ้างผลิต จะส่งมอบได้ตาม AZ อนุมัติ ตามสัญญา
ข้อสาม AZ ก็ส่งมอบให้รัฐบาลก่อนล่วงหน้าในระดับหนึ่ง แล้วจะเอาอะไรอีก
ข้อสี่ AZ มีการให้ SBS ส่งไปทำ Quality control ตรวจคุณภาพตั้งสามรอบ เพื่อให้มั่นใจว่า ปลอดภัย ก็อาจจะช้าหน่อย แต่ชัวร์ ปลอดภัยกับทุกคน
ข้อห้า การผลิตสินค้าสองร้อยล้านโดส ภายในหนึ่งปี ไม่ใช่ผลิตได้ไวๆ ก็ต้องผลิตและ stock ไว้ก่อน เบาะมอเตอร์ไซค์หรือแผงวงจรไฟรถยนต์ของไทยซัมมิท เวลาขายดีๆ ก็ผลิตเก็บไว้ขาย สต็อคไว้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ตอนนี้อาจจะไม่ต้อง stock
ข้อหก น้องขี้ฉ้ออย่าเข้าใจผิดไปว่า วัคซีนผลิตเสร็จต้องฉีดทันที นี่มันวัคซีนนะครับ ไม่ใช่น้ำก๋วยเตี๋ยว ที่ต้องต้มน้ำซุปร้อนๆ แล้วตักให้ยกซดทันที วัคซีนนะ ไม่ใช่น้ำก๋วยเตี๋ยว
ข้อเจ็ด หลังจากตีรวนมานาน โจมตีด่ามาสารพัดเรื่องวัคซีน พอคนได้ฉีด เขาก็พอใจแฮปปี้แล้วระดับหนึ่ง ก็ออกมาโจมตีว่า ทำไมต้องเว้นตั้งสามเดือน โถมีสมองไว้ศึกษาหาความรู้สักนิดหนึ่งก็ดีนะ อย่าเห่าโดยไม่ทำห่าอะไรเลย ด่าความมืดไม่มีประโยชน์เท่าจุดไฟในความมืด
ข้อแปด มีเวลาว่างมากๆ หันไปศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมบ้างก็ดี ลดริษยา มิจฉาทิฐิ อคติ โมหะ โลภะ โทสะ ดัดจริต ในจิตใจลงบ้าง จะช่วยให้สวยขึ้นทั้งภายนอกและภายใน มิใช่เต็มไปด้วยริษยาจนล้นxxxทูมแบบนี้ออกมา
พร้อมกับโพสต์ข้อความต่อไปว่า ผมขอบ่นดังๆ ไปยังรัฐบาลว่า การกระจายวัคซีนไม่มีทางทำให้ทุกคนพอใจได้ เพราะถึงอย่างไรเดือนนี้ก็ไม่มีให้ฉีด 50 ล้านโดส แต่การกระจายวัคซีนควรคำนึงถึงอย่างน้อยสี่ประการ และสองไม่
ประการแรก ที่สำคัญมากคือ ความชุก (Prevalence) ของการระบาดในแต่ละพื้นที่ พี้นที่ที่มีความชุกของการระบาดสูง ควรได้รับการจัดสรรวัคซีนอย่างเร่งด่วนที่สุดก่อน กรุงเทพฯควรได้ก่อน เพราะระบาดหนัก cluster ผุดเป็นดอกเห็ด
ประการที่สอง เศรษฐฐานะของประชากรในพื้นที่ เที่ยวนี้ระบาดหนักตามตลาด แคมป์ก่อสร้างที่พักคนงาน โรงงานอุตสาหกรรม ชุมชนแออัด ที่มีประชากรแรงงานเศรษฐฐานะไม่ดี หรือคนชายขอบ คนพม่า เสียด้วยซ้ำ การเข้าถึงในการจองก็ต่ำกว่ามาก ความรู้ในการใช้ทักษะดิจิทัลก็ต่ำ ไปจองฉีดวัคซีนในระบบสู้คนการศึกษาสูง ฐานะดีไม่ได้
ภาครัฐควรเอาใจใส่ประชากรกลุ่มนี้ให้มากก่อน ลดการระบาด อาจจะต้องลงตะลุยพื้นที่ ฉีดปูพรมไปก่อนเลย เพื่อหยุดการระบาดให้ไวที่สุด
ประการที่สาม คือ ความหนาแน่นของประชากร พื้นที่ที่ความหนาแน่นของประชากรสูงมักทำ social distancing ได้ไม่ดี การระบาดมักจะเร็ว ในเมืองระบาดเยอะกว่าในชนบท ในเมืองควรได้ก่อนชนบทครับ
ประการที่สี่ จำนวนประชากร ให้เหมาะสมและเพียงพอตามความจำเป็นเร่งด่วน แต่พื้นที่ไหนควบคุมการระบาดได้ดีอาจจะต้องรอก่อน ต้องบอกตรงๆ กับคนไทย ว่าให้อดทนรอ แต่การ์ดอย่าตก
สองสิ่งที่ต้องไม่ เอามาเป็นปัจจัยในการจัดสรรวัคซีนโควิด-19
ข้อแรก พื้นที่ฐานเสียงของพรรคการเมืองใด เรื่องนี้ได้ยินหนาหู และเป็นความจริง พื้นที่ฐานเสียงบางพรรคได้วัคซีนเยอะมาก แต่ไม่มีการระบาด ทำแบบนี้ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม อย่าใช้ชีวิตคนเป็นเครื่องมือทางการเมืองเลย
ข้อสอง การวิ่งเต้นเส้นสายให้ได้วัคซีนก่อน อันนี้ก็มีชัดเจนมากเช่นกัน ต้องไม่มีครับ
ขอติงรัฐบาลด้วยความปรารถนาดี อย่าเล่นการเมืองด้วยวัคซีนเลย คณะสามสัส ควายสามกีบ ทำให้วัคซีนเป็นเรื่องการเมืองด้วยการปล่อยเฟกนิวส์มากพอแล้ว รัฐบาลต้องไม่ทำให้วัคซีนเป็นเรื่องการเมืองแบบพวกมัน”
ขณะเดียวกัน นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“มหกรรมวัคซีน
นับตั้งแต่ 7 มิถุนายน เป็นต้นมา คนไทยทักทายกันว่า ฉีดวัคซีนหรือยัง ฉีดเมื่อไร ตัวเลขคนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนนับว่าสูง เฉลี่ยวันหนึ่งมาก กว่า 3 แสนถึงสี่แสนคน มันได้กลายเป็นมหกรรมใหญ่ทางการแพทย์ของสาธารณสุขไทย ที่ไม่เป็นสองรองชาติใด ด้วยอัตราการบริการระดับนี้ จนถึงสิ้นปี ถ้าไม่มีเหตุขัดข้อง วัคซีนขาด ไม่ส่งตามกำหนดเวลา คนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนมากถึง 50 กว่าล้านคน สามารถสร้างระบบคุ้มกันหมู่ได้แน่นอน
ต้องขอชื่นชมระบบการทำงานของทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ทุกโรงพยาบาล ทุกสถานที่ที่เปิดบริการ ระบบจัดได้ดีเยี่ยม ลื่นไหลไม่ขลุกขลัก มีการประชาสัมพันธ์ตลอดเวลา
มันแตกต่างดั่งฟ้ากับเหวกับคำอภิปรายของนักการเมืองในสภาฯ ที่โกหกคำโต หลับหูหลับตาพูดหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อผิดๆ
การทำงานที่จับต้องได้ เห็นเป็นรูปธรรม ไม่ใช่โม้ไปวันๆ
หรือถ้าฝ่ายค้านไม่พูดเตะตัดขารัฐบาล ปล่อยให้รัฐบาลทำสำเร็จ คะแนนนิยมจะเทไปหาลุงตู่ เลยต้องทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง หรือคะแนนที่ลงมติ พ.ร.บ.งบฯ และ พ.ร.ก.เงินกู้ ที่มี ส.ส.ฝ่ายค้านแว๊บหนี กำลังจะบอกอะไรประชาชน
อยากเตือนฝ่ายค้าน เปลี่ยนวิธีทำงาน อย่าพูดเอามันอยู่เลย ชาวบ้านสนใจข่าวลุงพลมากกว่าการอภิปรายของนักการเมือง”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความระบุว่า
คณะก้าวหน้ากับพรรคก้าวไกล ตลอดจนขบวนการล้มเจ้าในโซเชียลมีเดีย จริงๆ แล้วเป็นเพียงแค่หุ่นเชิด และเครื่องมือในการสร้างความขัดแย้ง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน ให้ออกห่างจากความจริง
ไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมการบิดเบือนที่ลวงโลก ข่าวลือโง่ๆ และการแซะสถาบันฯ ในประเด็นที่หาสาระไม่ได้ ตลอดจนการกล่าวหาลอยๆ แบบมั่วๆของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, ลุงสุรชัย( ปวิน) ชัชวาลพงศ์พันธ์ ฯลฯ ถึงได้กลายเป็นกระแสมอมเมาคนโง่ ปิดหูปิดตาให้โง่หนักยิ่งไปกว่าเดิม
ไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมรัฐบาลนี้ถึงได้ปกป้องสถาบันฯ ได้อย่างไร้ประสิทธิภาพ ปล่อยให้ขบวนการปั่นกระแสโซเชียลมีเดีย คอยบิดเบือนให้ร้าย สร้างความเกลียดชังต่อสถาบันฯ หลอกใช้คนรุ่นใหม่เป็นเครื่องมือในการโจมตีสถาบันฯ อย่างต่อเนื่อง
ไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมพรรคก้าวไกลถึงสามารถใช้เวทีรัฐสภาในการสร้างความน่าเชื่อถือ ให้กับการอภิปรายที่บิดเบือนให้ร้ายสถาบันฯ ครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมมาตรการทางกฎหมายถึงไม่สามารถจัดการกับคณะก้าวหน้าได้เลย คดีของธนาธรกับปิยบุตร และคดีของครอบครัวธนาธร ถึงได้ล่าช้าราวกับถูกดองไว้ ตลอดจนคดีอาญาอันเนื่องมาจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ถึงได้เงียบสนิท
ทั้งหมดเป็นเพราะเผด็จการนายทุน ผู้เป็นรัฐซ้อนรัฐตัวจริง ซึ่งคอยแทรกแซงการทำงานของรัฐบาล และสนับสนุนขบวนการสร้างความแตกแยกทั้งในและนอกรัฐสภา เป็นเหตุผลว่า ทำไมทั้งคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลถึงไม่เคยแตะ และไม่มีทางกล้าแตะเผด็จการนายทุนกลุ่มนี้ แถมยังใช้โซเชียลมีเดียสร้างภาพให้สถาบันฯ เป็นตัวร้าย โยนบาปทั้งหมดให้สถาบันฯ เพื่อปกปิดและปกป้องผู้ร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่าง
เผด็จการนายทุนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลและฝ่ายค้าน คอยจัดฉากสร้างความขัดแย้ง เป็นผู้กำกับของละครปาหี่ฉากใหญ่ เพื่อปิดหูปิดตาประชาชนในขณะที่พวกเขากำลังดำเนินการปล้นชาติและประชาชนครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ อาจไม่เพียงแค่เกมการเมืองของบางฝ่ายที่ต้องการโจมตีรัฐบาลกระทบเบื้องบนเท่านั้น ไม่ว่าจะด้วยข้อมูลที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพียงแต่เมื่อนำมาบิดเบือนมาตั้งคำถาม หรือ โหนกระแสความสนใจของสังคม ก็จะทำให้มีการขยายผลเป็นความขัดแย้งทางการเมืองได้แล้ว
เหนืออื่นใด ยังมีข้อคิด และแง่มุมที่น่ารับฟังจาก ดร.นิว กรณี “รัฐซ้อนรัฐ” ที่แท้จริง และ “อีแอบ” อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งแตกแยกทั้งหมด ที่โยนผิดให้กับสถาบันฯ เบี่ยงเบนความสนใจทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่ตัวเองคือ ตัวปัญหา และตัวร้ายที่เกาะกินประเทศไทยมาตลอดอย่างยาวนาน ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล ก็สามารถกอบโกยผูกขาดได้โดยไม่มีใครกล้าแตะต้อง ด้วยอำนาจเงิน
สังเกตหรือไม่ว่า คนที่ร่ำรวยหลายหมื่นหลายแสนล้าน โดยไม่มีใครโจมตีทางการเมือง เป็นใคร และใครบ้างที่ต้องการไปยืนอยู่บนจุดนั้น สิ่งเหล่านี้นับว่าน่าคิดอย่างยิ่ง
ส่วน “รัฐซ้อนรัฐ” ที่ถูกนำมาใส่ร้ายป้ายสีให้กับสถาบันฯของคนบางกลุ่มนั้น ไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหน ก็ไม่ชัดเจนเหมือน “เผด็จการนายทุน” อย่างที่ “ดร.นิว” ชี้ให้เห็น เพราะเห็นได้ชัดว่า ใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์ทางการเมือง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างไรก็ตาม คิดให้ดีก็แล้วกัน!