เชือดเฉือนกันมันหยด ชนิดฟาดมาฟัดกลับ “โบว์-คำ ผกา” นี่คือ สงครามตัวแทน “สลิ่ม-สามกีบ” อย่างเป็นทางการ? “ดร.อานนท์” ตอบโจทย์ใหญ่สังคมไทย จะเกิดอะไร ถ้าไม่มีสถาบันฯ “ดร.นิว” แฉมีคนฉากหน้า ปกป้อง ฉากหลัง “ล้มเจ้า”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (7 มิ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์หัวข้อ “โบว์ตอกกลับคำผกา ตามจิกขวัญใจสลิ่ม ออก TOPNEWS ซัดใช้สื่อไม่ให้เกียรติ เคยโจมตีดัดจริต”
ทั้งนี้ เนื้อหาจาก truthforyou.co ระบุว่า “จากที่ ลักขณา ปันวิชัย หรือ คำ ผกา นักเขียนและพิธีกรในสถานีวอยซ์ทีวี ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Lakkana Punwichai พาดพิงถึงบุคคลที่ระบุว่า เป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย และกำลังเป็นขวัญใจสลิ่มคนใหม่ รวมทั้งยังพูดถึงประเด็นสามกีบนั้น
คำผกา โพสต์ว่า “ขวัญใจสลิ่มคนใหม่ ผลิตงานเขียนได้ดูมีสติกว่า ดี้ กว่าโจ กว่า ดร.นันยาง มีดีกรีเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อ ปชต. ไม่ต้องจ้าง ขอแต่สปอตไลท์
ที่น่าเห็นใจคือ อาจทำไปโดยไม่รู้ตัว รู้แต่ว่าอย่างน้อยๆ ยังมีแฟนคลับ แม้นแฟนคลับกลุ่มใหม่จะเรียก ฝ่าย ปชต. ว่า “สามกีบ” ไม่หยุดหย่อน
ปากบอกขอความสุภาพและมีเหตุผล แต่ไม่มีสักครั้งที่เธอจะแวะ เขียนสัก 1 สเตตัสว่า การเรียกคนที่ชูสามนิ้วว่า “สามกีบ” นั้น ไม่ถูกต้องอย่างไรบ้าง
คนที่โวยวายว่า ตนเองถูกไซเบอร์บูลลี่ กลับไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่ตนเองเป็นที่นิยมจากกลุ่มคนที่รักในการ dehumanized ผู้อื่น แปลกกว่านั้นยังสามารถไปออกรายการในสื่อที่ได้ชื่อว่า ทั้งปลอมทั้งปลุกปั่น คนมันหิว
ต่อมา โบว์ หรือ น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองและอดีตแกนนำกลุ่มอยากเลือกตั้ง ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กของคำผกา ว่า
“ประเด็น 3 กีบ เคยพูดไว้ตั้งแต่ 24 พ.ค. และไม่เคยสนับสนุนให้ใครสื่อสารอย่างไม่ให้เกียรติกันอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเหตุให้คุณด่าเราว่า “ดัดจริต” และ “หิวแสง” ว่าแต่คุณเคยประณามคนที่ก่ออาชญากรรมกับเรามั้ย จำได้ว่า เคยนั่งจัดรายการหัวเราะสนุกสนานเรื่องที่ปวิน (นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์) เอาภาพแอบถ่ายไปปล่อยพร้อมกล่าวหาว่า เราถ่ายเองปล่อยเองเพราะอยากจับผู้ชาย และคุณพูดว่า เราจะไปแจ้งความทำไม ถ้าเป็นคุณจะถ่ายคลิปที่เด็ดกว่ามาปล่อยเลย” https://www.facebook.com/575635818/posts/10158187678915819/?d=n
การไปออกรายการสื่อช่องใดก็ตาม คือ โอกาสในการพูดกับประชาชนหน้าจอของสื่อนั้น เมื่อเขาต้องการฟังเราก็พูดให้ฟัง ที่ผ่านมาหลายคนในฝั่งที่คุณสนับสนุนก็ไปร่วมรายการมาก่อน ซึ่งเป็นโอกาสดีที่คนจะได้รับฟังมุมมองที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ด่าทอสร้างความเกลียดชังไปวันๆแตกหักกันไปค่ะ ใครจะร่วมสร้างสังคมแบบนั้น ขอลา...
ขณะเดียวกัน ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า
ถ้าไม่มีสถาบัน ประเทศไทยจะเป็นไปอย่างไร ประเทศไทยในขณะนี้ มีความเห็นกลุ่มกษัตริย์นิยม (Royalist) และกลุ่มปฏิกษัตริย์นิยม (Anti-royalist) หรือแบ่งออกเป็นสองขั้วทางการเมืองอย่างชัดเจน ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นหรือการดำรงอยู่ของสถาบัน
ฝ่ายที่ต้องการล้มสถาบัน ไม่ได้บอกอะไรมากนอกจากชูค้อนเคียว และต้องการสาธารณรัฐ ผมเลยขอลองฉายภาพตามความรู้เท่าที่มี ว่าถ้าหากประเทศไทยไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น ดังนี้
ข้อแรก นักการเมืองและข้าราชการประจำจะกร่างมาก สถาบันเป็นด่านสุดท้ายที่ไม่ทรงยอมโปรดเกล้านักการเมืองเลวหรือลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าข้าราชการเลวๆ แม้จะไม่ได้ทรงใช้พระราชอำนาจพิเศษ เหล่านี้มากนัก แต่ก็เป็นด่านที่นักการเมืองและข้าราชการเลวๆ เกรงกลัว
ข้อสอง นักการเมืองและข้าราชการประจำจะประพฤติตัวเลว โกงกิน ทุจริต คอร์รัปชันหนักขึ้นมาก ด่านสุดท้ายของกระบวนการยุติธรรมหรือการร้องทุกข์ของราษฎรคือการถวายฎีกา แต่หลายกรณีก็ได้รับพระมหากรุณาปัดเป่าทรงช่วยเหลือ ข้าราชการที่ดีและนักการเมืองดีก็มีกำลังใจในการทำงาน อย่างน้อยก็รู้ว่า ฟ้ามีตา สวรรค์มีใจ และทุกสิ่งอย่างยังอยู่ในพระเนตรพระกรรณ
ข้อสาม นักการเมืองจะตีกันหนักมากจนไม่มีใครฟังใคร ประชาชนจะถูกยุยงปลุกปั่นให้ออกมาทะเลาะกันรุนแรงเพื่อผลประโยชน์แต่ละฝ่าย โดยไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครฟังใคร บ้านเมืองจะวุ่นวายมาก เพราะขาดผู้ที่มีบารมีพอที่ทุกคนเต็มใจฟัง และยอมให้ ดีไม่ดีจะตีกันตายจนเกิดสงครามกลางเมือง
ข้อสี่ ประชาชนจะเคว้งขว้าง ขาดศูนย์รวมยึดเหนี่ยวจิตใจ ความคิดในการเสียสละทำเพื่อบ้านเมืองจะลดลงมาก มีความเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้น คนที่คิดทำเพื่อผู้อื่นจะอยู่ยาก ไม่มี role model และไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่อใคร ไร้เป้าหมายที่จะปกป้อง
ข้อห้า ประเทศไทยจะแตกออกเป็นประเทศหลายประเทศ ไทยเหนือ ไทยใต้ ต่างชาติจะเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย แผ่นดินไทยจะร้อนระอุไม่ได้แตกต่างจากหลายๆ ประเทศที่สิ้นชาติ หรือแบ่งออกเป็นหลายๆ ประเทศ
นี่คือความจำเป็นของการดำรงอยู่ของสถาบันในประเทศไทย ในทัศนะของผม”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ระบุว่า
“เผด็จการตัวจริงของประเทศนี้ คือ #เผด็จการนายทุน ซึ่งอยู่เบื้องหลังทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านมาตลอดระยะเวลานับสิบๆ ปี คอยตักตวงผลประโยชน์จากทรัพย์สมบัติของชาติ สูบเลือดสูบเนื้อของประชาชนจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและสัมปทานผูกขาด ตลอดจนการคอร์รัปชันอีกจำนวนมาก แล้วหลบเร้นอยู่ภายใต้ความขัดแย้งระหว่างประชาชน โดยเบื้องหน้าปกป้องสถาบันฯ แต่ลับหลังกลับให้การสนับสนุนฝ่ายที่ล้มล้างสถาบันฯ”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ เกมต่อสู้ทางการเมืองของสองขั้วขัดแย้งในสังคมไทย ที่ทำให้คนไทยเห็นชัดแล้วว่า ไม่แต่เฉพาะกลุ่มคนที่ใช้ชื่อว่า เยาวชนปลดแอก หรือ คณะราษฎร 2563 เท่านั้น หากแต่ฝ่ายที่สนับสนุน อย่าง กลุ่มคนที่ถูกป้ายสีให้เป็น “สลิ่ม” และ “สามกีบ” ก็ต่อสู้ฟาดฟันกันในทางความคิดความเชื่อ และท่าทีที่มีต่อกัน ไม่ต่างจากคู่ขัดแย้ง หรือ คนที่บาดหมางกันมาก่อน
ทั้งที่แท้จริงแล้ว บางคู่อาจไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน เพียงแต่ความคิดเห็นและการแสดงออกทางสื่อสังคมออนไลน์ หรือ สื่อกระแสหลักที่แตกต่างกันเท่านั้น ก็พร้อมที่จะต่อสู้ฟาดฟันกันได้ กรณี “โบว์” และ “คำ ผกา” ถือเป็นตัวอย่างได้ดี
ส่วนกรณี ดร.อานนท์ และ ดร.นิว นั้น ที่คล้ายคลึงกันก็คือ ความพยายามที่จะชี้ให้สังคมไทย และคนไทยได้เห็นถึงปัญหาทางการเมือง เมื่อมีบางฝ่ายต้องการล้มล้างสถาบันว่าแท้จริงเป็นอย่างไร
ประเด็นแรก ของ ดร.อานนท์ ชี้ให้เห็นความสำคัญของสถาบัน และคุณูปการต่างๆที่สถาบันฯมีให้กับประเทศไทย และคนไทย ยกเว้นคนเลวเท่านั้นที่ต้องเกรงกลัวสถาบัน และไม่ต้องการให้มีสถาบัน
ประเด็นที่สอง ดร.นิว ชี้ให้เห็นถึง “เผด็จการ” ที่แท้จริง คือใคร ในท่ามกลางที่ฝ่าย 3 นิ้ว หรือ เยาวชนปลดแอก ชี้เป้าบิดเบือนไปที่เบื้องสูง และสิ่งที่คนไทยจะต้องคิดต่อ คือ ที่ดร.นิวชี้ให้เห็นว่า เผด็จการที่แท้ คือ กลุ่มนายทุนทางการเมืองนั้น จริงหรือไม่
เหนืออื่นใด เกมต่อสู้ทางการเมือง นับวันยิ่งรุนแรง และไม่เลือกวิธีการ จนอาจทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นแพะรับบาปก็เป็นได้ในหลายกรณี นี่คือ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในเวลานี้