xs
xsm
sm
md
lg

“รสนา” ชวนรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจยุคโควิดด้วยการส่งเสริมปลูกฟ้าทะลายโจร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รสนา” ย้ำ ฟ้าทะลายโจรเป็นความมั่นคงทางยาของประเทศไทย เพราะไวรัสจะยังคงอยู่คู่ไปอีกนาน รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมคนไทยปลูกให้ได้ใช้กันอย่างทั่วถึง และทำให้เศรษฐกิจในประเทศหมุนเวียนในภาวะวิกฤตโควิด-19 และหากส่งเสริมทำวิจัยมากขึ้น อาจส่งออกยาฟ้าทะลายโจรไปขายประเทศเพื่อนบ้านได้

วันนี้ (19 พ.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และผู้เสนอตัวลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก รสนา โตสิตระกูล ในหัวข้อ มาปลูกฟ้าทะลายโจรกระตุ้นเศรษฐกิจยุค
โควิด-19 กันเถิด
มีรายละเอียดว่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้ไปดูฟ้าทะลายโจรที่ปลูกที่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก เมล็ดฟ้าทะลายโจรที่ให้คุณพิภพ ธงไชย เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ฟ้าทะลายโจรที่ปลูกเมื่อเดือนมีนาคม ถึง กลางเดือนพฤษภาคม ประมาณ 2 เดือนครึ่ง โตเกือบจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว

ประจวบกับวันนี้ (19 พ.ค. 2564)ได้รับทราบข่าวจากคุณแม่ของเด็กชายภคพล อายุ 4 ขวบ ที่ติดเชื้อโควิดต้องไปอยู่ รพ.เด็ก เพื่อกักตัวรักษาอาการ ปรากฏว่า คุณแม่ คุณพ่อของน้องภคพล ได้กินฟ้าทะลายโจรตลอดตั้งแต่พบว่าตัวเองมีความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด ในการตรวจครั้งแรก ก็ไม่พบว่าติดเชื้อ ส่วนคุณแม่น้องภคพล ต้องไปอยู่เป็นเพื่อนลูกใน รพ. ก็ได้ตรวจเชื้ออีกหนึ่งครั้ง ก็ไม่พบเชื้อ เมื่อออกจาก รพ. แล้วก็ได้ไปตรวจเชื้อเองอีกครั้ง ผลการตรวจออกมา ก็พบว่าผลเป็นลบ

ในขณะที่น้องสะใภ้คุณแม่น้องภคพล ที่เสี่ยงติดโควิดมาด้วยกัน ไม่ได้กินยาฟ้าทะลายโจร เมื่อไปตรวจเชื้อก็พบว่าติดโควิดจริงและได้ไปกักตัวใน hospitel เป็นเวลา 14 วัน โดยถูกจัดให้อยู่รวมกับคนอื่นที่ติดเชื้ออีก 2 คน ปรากฏว่า น้องสะใภ้ และรูมเมทอีกคนหนึ่งที่ถูกกักตัวได้กินฟ้าทะลายโจร ที่นำติดตัวไปด้วยส่วนอีกคนไม่ได้กินฟ้าทะลายโจร ผ่านไป 7 วัน พบว่าเชื้อลงปอดจึงถูกแยกออกไป แต่น้องสะใภ้และรูมเมทที่ใช้ยาฟ้าทะลายโจรหายดี กลับบ้านได้เมื่อวานนี้เอง (18 พ.ค.)

กรณีนี้เป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญสำหรับดิฉันมาก สองสามีภรรยากินฟ้าทะลายโจรตั้งแต่แรก ได้รับการตรวจเชื้อ 2-3 ครั้งไม่พบเชื้อโควิด ในขณะที่ลูกชายวัย 4 ขวบติดเชื้อ โดยที่คุณแม่ที่อยู่กับลูกตลอดเวลาใน รพ.ก็ไม่ติดเชื้อ ส่วนน้องสะใภ้และรูมเมทเมื่อพบว่าติดเชื้อต้องไปกักตัวและกินฟ้าทะลายโจร ก็พบว่าเชื้อไม่ลงปอด ส่วนอีกคนหนึ่งซึ่งถูกกักตัวรวมกัน ไม่ได้กินฟ้าทะลายโจรพบว่าเชื้อลงปอด ขณะนี้ยังรักษาตัวอยู่

นอกจากนี้ ข่าวเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2564 ระบุว่า เรือนจำเชียงใหม่ พบผู้ติดเชื้อโควิดในเรือนจำเกือบ 4 พันราย และนายสุรศักดิ์ เผื่อนคำ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงใหม่ แถลงข่าวว่า “กรณีผู้ต้องขังติดเชื้อก็ให้กินยาฟ้าทะลายโจร กินวิตามินซี ดื่มน้ำขิง น้ำกระชายขาว (กระชายแกง) ซึ่งปรากฏว่า มีภูมิคุ้มกันและหายได้เกือบ 3,000 คน”

ดิฉันเห็นว่า เป็นข่าวที่น่ายินดีที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่า การใช้ฟ้าทะลายโจร สามารถยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสโควิด-19 เมื่อฟ้าทะลายโจรสามารถช่วยลดเชื้อไวรัสได้แล้ว ร่างกายผู้ป่วยก็จะฟื้นตัวขึ้นจนสามารถปรับสมดุลภูมิคุ้มกันภายในตัวเองสู้กับเชื้อโควิดที่เหลือให้หมดไป

นอกจากนี้ มีข่าวร่ำลือในโซเชียล มีเดียว่า “อย่ากินฟ้าทะลายโจร จะทำให้เชื้อโควิดหลบใน ตรวจไม่เจอ” ดิฉันได้สอบถามศาสตราจารย์แพทย์แผนปัจจุบันด้านโรคติดเชื้อว่า ข้อมูลเช่นนี้จริงหรือไม่ ท่านได้ตอบดิฉันว่า “หลบไม่ได้หรอกค่ะ RT-PCR​ คือ การตรวจหา​ RNA (ของไวรัส) ฟ้าทะลายโจรไม่ได้ไปบดบังอะไรที่​ RNA เพียงแต่ให้มันเพิ่มจำนวนไม่ได้​ เพราะใช้ส่วนของเซลล์ไม่ได้…

การตรวจไม่พบเชื้อ​ ก็แปลว่าถูกร่างกายกำจัดไปแล้ว​ ก็ยิ่งจะดีใหญ่ กระบวนการเดียวกับ​ Favipiravir​ เลยค่ะ... พอมีชื่อฝรั่ง​ ก็เลยไม่หาเรื่อง​ 555”

อาจารย์หมอท่านนั้นให้ข้อมูลเพิ่มว่า “ไวรัสมีส่วนประกอบไม่ครบพอที่จะเป็นเซลล์​ และไม่มีชีวิต จึงไม่มีการตาย​ ไม่มีการทำให้ตาย (ฆ่า)​... แต่อาจจะมีการใช้คำผิดไปบ้าง​ ก็ไม่เป็นไร...มันมีแต่สารพันธุกรรม​ RNA.หรือ​ DNA.​สำหรับขยายพันธุ์​ แต่ต้องได้เข้าไปในเซลล์ก่อน... แต่ถ้าเข้าเซลล์แล้ว​ มียาไปกั้นไม่ให้มันใช้เซลล์เป็นโรงงานผลิตพวกมันได้​ ก็จะหยุดได้แค่เข้าไปเฉยๆ...ไวรัสในร่างกายที่เข้าเซลล์ไม่ได้​ เข้าไปแล้วเพิ่มจำนวนไม่ได้​ ก็หมดฤทธิ์​ ทำลายเซลล์ไม่ได้​ ภูมิต้านทานในร่างกายก็จะทำหน้าที่กำจัด​(กิน)​ไป​ เป็นการลดจำนวน”

อาจารย์หมอท่านนั้นให้ข้อมูลดิฉันเพิ่มเติมว่า “ยาต้านไวรัส​ จะไม่มีชนิดไหนที่กำจัด​ (ฆ่า) ​ไวรัส เพราะไวรัสเป็น​ RNA, DNA​ เท่านั้น​ แพร่พันธุ์เองไม่ได้​ ต้องไปอยู่ใน​ เซลล์​ และใช้อุปกรณ์ของเซลล์ในการเพิ่มจำนวน...การกำจัด ​(ฆ่า) ​ไวรัส​ ต้องทำลายเซลล์ให้ตายไปด้วยกัน ปริมาณไวรัสที่ลดลงได้​ เกิดจากการที่มันเข้าเซลล์ไม่ได้​ และสลายไปตามเวลา​ หรือภูมิต้านทานทำให้มันไม่คงความเป็น​ nucleic acid.( RNA, DNA)​ ที่จะถ่ายทอดพันธุกรรมให้กับการสร้างตัวใหม่ขยายพันธุ์​ โดยใช้ชิ้นส่วนของเซลล์…

หรือเมื่อเข้าไปในเซลล์แล้ว​ ยาไปยับยั้งไม่ให้ไวรัสใช้ส่วนของเซลล์เพื่อดำเนินการต่อไปได้​ และถูกเซลล์กำจัดในที่สุด...ไวรัสไม่มีชีวิต ไม่ตาย​ ถ้าเข้าร่างกายมนุษย์/สัตว์​ไม่ได้​ จะสลายตามกาลเวลา​ หรือโดนกำจัดด้วยสิ่งที่กำจัดมันได้​ เช่น​ alcohol... ถ้าเข้าร่างกายหรือเข้าเซลล์ได้​ ก็ต้องใช้ภูมิต้านทานกำจัด​ โดยยาที่ไปยับยั้งการแบ่งตัวเป็นเครื่องมือช่วยให้ง่ายขึ้น กลไกของฟ้าทะลายโจรน่าจะอยู่ตรงนี้..”

ดิฉันเห็นว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส จึงมีความสำคัญในการลดอาการรุนแรงในคนที่ติดเชื้อโควิด และฟ้าทะลายโจรยังเป็นความมั่นคงทางยาของประเทศได้ เพราะไวรัสจะยังคงอยู่คู่กับมนุษยชาติไปอีกนานแสนนาน ขออย่าได้รังเกียจชื่อแบบไทยๆ ว่า “ฟ้าทะลายโจร” เลย เพราะสนนราคานำเข้าของ Favipiravir เม็ดละ 120-150 บาท นำเข้า 5 ล้านเม็ด ก็ตก 600-750 ล้านบาท ถ้าองค์เภสัชกรรมผลิตได้ ราคาถูกที่สุดที่เราจะได้ก็ยังคงเป็นเม็ดละ 25-30 บาท ในขณะที่ฟ้าทะลายโจรชนิดผงบรรจุแคปซูล 50 แคปซูล ราคา ไม่เกิน 80 บาท

ถ้าเราส่งเสริมคนไทยร่วมกันปลูกฟ้าทะลายโจร ใช้เงินซื้อฟ้าทะลายโจรจากคนไทย แค่ 600 ล้านบาท จะช่วยให้คนไทยได้ใช้ยาฟ้าทะลายโจรอย่างทั่วถึง และเศรษฐกิจในประเทศจะหมุนเวียนได้พอสมควรในภาวะวิกฤตโควิด-19 ขณะนี้ และถ้ารัฐบาลส่งเสริมให้มีการทำวิจัยมากขึ้น เราอาจสามารถส่งออกยาฟ้าทะลายโจรไปขายประเทศเพื่อนบ้านที่ล้วนประสบชะตากรรมจากมหันตภัยโรคระบาดนี้เช่นเดียวกัน

ดิฉันจึงขอเชิญชวนประชาชนคนไทยร่วมกันปลูกฟ้าทะลายโจรไว้ใช้ในครัวเรือน และเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างความมั่นคงทางยาของชาติ




กำลังโหลดความคิดเห็น