ข่าวปนคน คนปนข่าว
** แค่เนี้ยะ! ลงโทษกักยาม 14 วัน สารวัตรพาเมียนั่ง ฮ.หลวง-โชว์เต้น Tiktok ชาวเน็ตส่ายหัว เรื่องบอส-บ่อน-คริสตัลคลับ จะหวังอะไรจากตำรวจ
มีบทสรุปออกมาแล้วกรณีที่โลกโซเชียลฯ เผยแพร่คลิป “พ.ต.ท.อรรคพล ยี่เกาะ” สว.กก.สส.ภ.จว.อุดรธานี แต่งเครื่องแบบเต้นล้อเลียนนักร้องประเทศเพื่อนบ้าน ลงในแอปพลิเคชัน TIKTOK พร้อมกับคลิปพาภรรยานั่งเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจ จนถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความเหมาะสม ชนิดที่ “ทัวร์ลง” จนทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องเต้น
ผลปรากฏว่า “พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี” ผบก.ภ.จว.อุดรธานี ได้พิจารณาผลการสืบสวนข้อเท็จจริงทางวินัยทั้ง 2 กรณีแล้ว พบว่ากระทำผิดจริง จึงมีคำสั่ง ภ.จว.อุดรธานี ที่ 286 /2564 ลง 27 เม.ย. 64 และ คำสั่ง ภ.จว.อุดรธานี ที่ 287/2564 ลง 27 เม.ย. 64 ลงโทษ “พ.ต.ท.อรรคพล ยี่เกาะ” ฐานประพฤติตนไม่เหมาะสม “ให้กักยาม” โดยการสั่งให้ควบคุมตัวใน กก.สส.ภ.จว.อุดรธานี โดยกักไว้ในเขตพื้นที่ที่กำหนด กระทงละ 7 วัน รวม 2 กระทง เป็น 14 วัน ซึ่งอ้างว่าเป็นการลงทัณฑ์สูงสุดในอำนาจ ผบก. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ตำรวจอื่นต่อไป
งานนี้มีเหตุผลอธิบายเพิ่มจาก สตช.ว่า การลงโทษครั้งนี้เป็นการแสดงว่า ตร.ไม่ได้เพิกเฉยต่อการแสดงออกของตำรวจที่ทำให้สังคมเกิดความไม่สบายใจ เมื่อพบว่าผิดก็ต้องลงโทษทางวินัย ตามน้ำหนักของความผิด และฝากกำชับถึงข้าราชการตำรวจทุกนาย ให้ปฏิบัติตามข้อสั่งการของ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร. ซึ่งได้ทำวีดิทัศน์คู่มือแนะนำแนวทางปฏิบัติในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของข้าราชการตำรวจอย่างเคร่งครัด ซึ่ง ผบ.ตร.ได้เคยย้ำว่า การเป็นข้าราชการตำรวจนั้น นอกจาก “สิทธิส่วนบุคคล” แล้ว ยังมีคำว่า “หน้าที่ความรับผิดชอบ” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งต้องให้ความสำคัญทั้ง 2 เรื่องในน้ำหนักที่เท่ากัน และต้องคิดก่อนทำว่าทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ หน่วยงาน องค์กร หรือสังคมอย่างไร
พลันที่ข่าวแพร่ออกไปก็ปรากฏสังคมออนไลน์ได้พากันวิจารณ์ว่า เป็นบทลงโทษที่เบาหวิว “แค่เนี้ย” เหมือนตำรวจช่วยเหลือกันมากกว่าแสดงความจริงใจให้สังคมได้เห็น “หน้าที่ความรับผิดชอบ” ตามที่ ผบ.ตร.ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาท่องคาถาแต่อย่างใด
ต้องไม่ลืมว่า องค์กรตำรวจเวลานี้มีปัญหากับสังคมที่ไม่ศรัทธาต่อการทำงานของตำรวจหลายเรื่อง หลังจากประชาชนต้องทนทุกข์กับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด ที่รับผลพวงมาจากความบกพร่องต่อหน้าที่รับผิดชอบ เห็นแก่ผลประโยชน์ที่ได้รับจาก บ่อน และ สถานบันเทิง ที่เป็นต้นเหตุของ “คลัสเตอร์” การแพร่กระจายโรค ทั้งกรณี “บ่อนหลงจู๊สมชาย” จนมาถึง “คลัสเตอร์ทองหล่อ” คริสตัลคลับ และเอมเมอรัลด์
นี่ก็ได้ยินข่าววงใน ว่ากันว่า การสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดที่ตอนนี้เริ่มเงียบจะออกมาชนิดที่จับมือ “บิ๊กตำรวจ” ที่อยู่เบื้องหลังดมไม่ได้ตามเคย นอกจากปลาซิวปลาสร้อย ที่โดนคำสั่งย้ายไปก่อนหน้า หรืออย่างมากก็ตัดจบที่ดำเนินคดีกับ “อ๊อด มิยาบิ” คนออกหน้าเท่านั้น
สรุปว่า ตามความเห็นชาวเน็ตเชื่อว่า ขนาดเรื่องใหญ่โตสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อประชาชนและประเทศ อย่างกรณี “บอส” ทายาทกระทิงแดง มา “บ่อนหลงจู๊” มา “โควิดซูเปอร์สเปรดเดอร์” เที่ยวล่าสุด “คริสตัลคลับ” ตำรวจกันเองยังแค่ย้ายโต๊ะทำงาน ประสาอะไรกะเรื่องตำรวจพาเมียนั่ง ฮ.หลวง ถ่ายคลิป โชว์แบบนี้
นี่คือองค์กรเหนือกฎหมาย แม้แต่นายกฯ ยังไม่กล้า!!
**หวงพื้นที่ ? ปชป.ตีรวน ปมเปลี่ยนตัว รมต.ดูแล “ขับเคลื่อนไทย” ภาคใต้ “ลุงตู่” ขู่กลาง ครม. แต่ก็ต้องยอมตาม
ออกอาการงอแงมาตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ประชุมครม.วันที่ 20 เม.ย. มีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 85/2564 มอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบงานภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ระดับพื้นที่จังหวัด ซึ่งปรากฏว่า รัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์หลายคนไม่ได้ดูแลพื้นที่เดิมของตัวเองในจังหวัดภาคใต้
อาทิ “นิพนธ์ บุญญามณี” รมช.มหาดไทย รองหัวหน้าพรรค ปชป. ที่เคยดูแลนครศรีธรรมราชและสงขลา ตามคำสั่งเดิมที่ออกมาตั้งแต่เดือน ส.ค.ปีก่อน ก็ถูกเปลี่ยนไปดูแล ตรัง และสตูล โดยให้ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาดูแลแทน พร้อมพ่วง จ.ภูเก็ต เข้าไปด้วย
ขณะที่ “สินิตย์ เลิศไกร” รัฐมนตรีหมาดๆ ซึ่งเป็น ส.ส.สุราษฎร์ธานี กลับไม่ได้ดูแลพื้นที่สุราษฎร์ธานี แต่ถูกมอบหมายให้ดูแล จ.หนองบัวลำภู และ ร้อยเอ็ด ในภาคอีสาน
บรรดาสายมโนทั้งหลาย ต่างก็คาดการณ์กันว่า นี่เป็นการจัดเข้ามาเตรียมพื้นที่สำหรับการเลือกตั้งที่อาจจะมีขึ้นเร็วๆ นี้ การส่ง “ผู้กองธรรมนัส” มาดูแลจังหวัดใหญ่ในภาคใต้ เป็นเป้าหมายของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะชิงพื้นที่ ส.ส.ไปจาก ปชป.หรือเปล่า
“จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้า ปชป. ถึงกับออกโรงเองพูดต่อหน้าสื่อ เมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า ประชาธิปัตย์ไม่พอใจกับคำสั่งดังกล่าว และได้มีการหารือกันในระหว่างรัฐมนตรีของพรรคในทันที โดยได้มอบหมายให้ “จุติ ไกรฤกษ์” และ “นิพนธ์ บุญญามณี” แจ้งให้นายกรัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้องทราบแล้ว ซึ่งก็ทราบว่า นายกฯ จะให้ทบทวนคำสั่งโดยมอบหมายให้ “รองฯ วิษณุ เครืองาม” รับไปดำเนินการแก้ไขแล้ว แถมทิ้งท้ายในทำนองขู่กลายๆ ว่า “ถ้ายุติได้เร็ว ก็จะเป็นการดี เรื่องจะได้ไม่บานปลายโดยไม่จำเป็น”
เท่านั้นยังไม่พอ มีกระแสข่าวระแคะระคายไปถึงหู “ลุงตู่” ว่า มีรัฐมนตรีบางคนในพรรคร่วมรัฐบาล เอาเรื่องนี้ไปนินทาลับหลัง จนท่านผู้นำออกอาการฉุนเฉียวทำเสียงเข้มกลางที่ประชุม ครม. ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า “อย่าให้ผมได้ยินก็แล้วกัน ผมมีคณะทำงานติดตามเฟซบุ๊กของทุกพรรค”พร้อมย้ำว่า คนไหนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ระดับจังหวัด เพื่อไป “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ถ้าเห็นว่าคนนั้นทำงานไม่ได้ หรือไปสร้างปัญหาในพื้นที่ หรือทำทุจริตสร้างความขัดแย้งและเกลียดชัง ก็จะพิจารณาปรับออก ช่วงนี้ขอให้ช่วยกันทำงาน อย่าเล่นการเมือง ผมคอยดูอยู่”
แต่สุดท้าย “ลุงตู่” ก็ยังเป็น “ลุงตู่” ที่แสดงอาการแข็งนอกอ่อนใน ในหลายกรณี เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน หลังจากทำเสียงดุใส่รัฐมนตรีพรรคร่วมใน ครม.แล้ว เพียงข้ามวันก็มีรายงานข่าวว่า นายกฯยอมถอย ปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีดูแล “ขับเคลื่อนไทย” ตามความต้องการของพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว แต่ในพื้นที่ภาคใต้ ขอให้รัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล คือ “ผู้กองธรรมนัส” ได้ดูแลพื้นที่ภาคใต้บางจังหวัด เป็นการห้อยท้ายไว้บ้าง
เรื่องนี้ “รองฯ วิษณุ เครืองาม” ยอมรับว่า กำลังแก้ไขคำสั่งใหม่ ซึ่งจะเสร็จในวันที่ 29 เม.ย. แล้วให้นายกฯลงนาม และถือว่าคำสั่งที่ผ่าน ครม.วันที่ 20 เม.ย.สิ้นผลทันที
ก็เป็นอันว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้เสร็จสมอารมณ์หมายตามที่ตัวเองต้องการ แต่ก็มีคำถามตามมาว่า พรรคการเมืองเก่าแก่พรรคนี้ จะกลัวอะไรนักหนา กับการที่มีรัฐมนตรีจากพรรคอื่นไปดูแล “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ในพื้นที่ภาคใต้
จะว่าไป แนวคิด “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” เป็นการทำงานเชิงบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อเร่งรัดแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้านต่างๆ ให้ได้ผลและรวดเร็วทันเหตุการณ์ อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามที่ได้รับหมายจากนายกฯ ก็คือ ให้เป็นที่ปรึกษา ให้คําแนะนํา และเสนอแนะแก่คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดที่รับผิดชอบ และถ้าส.ส.เจ้าของพื้นที่จะลงไปช่วย ก็คงไม่มีใครขัดขวาง และผลงานที่ออกมาก็คงไม่ใช่ผลงานของรัฐมนตรีคนเดียว แต่เป็นของทุกคนที่ร่วมมือกัน
ก็น่าแปลกที่ฝ่ายพลังประชารัฐ ไม่ได้โวยวายที่ “ธรรมนัส” ไม่ได้ดูแลพื้นที่ตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้ว อยู่ที่ภาคเหนือ แต่กลับส่งไปดูภาคใต้ หรือกรณีที่ “รัฐมนตรี สินิตย์” ถูกส่งไปดูแล หนองบัวลำภูและร้อยเอ็ด คามคำสั่งที่โดนคัดค้าน ก็ทำไมไม่คิดว่า ประชาธิปัตย์จะไปฮุบพื้นที่ภาคอีสานบ้าง
คงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากว่า ประชาธิปัตย์กำลังเกิดอาการ “หวงพื้นที่” ทั้งๆ ที่ก็รู้กันอยู่ว่า ส.ส.พรรคนี้ ครองพื้นที่ภาคใต้มานาน แต่ก็ไม่ได้พัฒนาไปถึงไหน และคงยังหวาดผวาไม่หาย หลังจากแพ้เลือกตั้งซ่อมที่ นครศรีธรรมราชเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา