ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ซิงเกิลคอมมานด์!! ลุงตู่ ยึดอำนาจสั่งการกฎหมาย 31 ฉบับ สู้โควิด วิกฤตจะคลี่คลายในเร็ววันหรือไม่ คนไทยต้องเอาใจช่วย
สถานการณ์โควิดระบาดรอบนี้ รุนแรง สาหัส จำนวนผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิต เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล และยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง เมื่อรวมกับปัญหาในการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องฉีดวัคซีนช้า เตียงไม่พอรับคนป่วย รถพยาบาลที่จะไปรับคนป่วยมีไม่เพียงพอ ไปโรงพยาบาลไม่ได้ ต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน คนในครอบครัวพลอยติดเชื้อไปด้วย บางรายถึงกับเสียชีวิตคาบ้าน ...ประชาชนคนไทยเครียดกันทั้งประเทศ
ความข้องขัด อัดอั้น เหล่านี้ จึงถูกระบายไปลงที่รัฐบาลว่าบริหารสถานการณ์ล้มเหลว “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ตกเป็นเป้า โดนไปเต็มๆ
“อนุทิน” ดูจะหนักหน่อย เพราะกลุ่ม “หมอไม่ทน” ที่เป็นเครือข่ายของพรรคฝ่ายค้าน ออกแคมเปญล่าชื่อ “ไล่อนุทิน” ผ่าน www.change.org มีคนเข้ามาร่วมลงชื่อทะลุหลักแสนไปแล้ว ...ขณะเดียวกัน ก็มีเพจเฟซบุ๊กโรงพยาบาลหลายแห่ง ได้โพสต์ข้อความให้กำลังใจ พร้อมติดแฮชแท็ก #Saveอนุทิน # ทองแท้ไม่กลัวไฟ ...เป็นการตอบโต้กันในโซเชียลฯ
ขณะที่ “อนุทิน” ก็ออกมาบอกว่า ตนเองเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติตามนโยบายและคำสั่งของนายกฯมาโดยตลอด อีกทั้งศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์โควิด หรือ ศบค. มีนายกฯ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ก็เป็นผู้จัดทำนโยบาย พิจารณา ออกคำสั่ง กำกับการปฏิบัติงาน ส่วนกระทรวงสาธารณสุขเป็นเพียงหน่วยปฏิบัติ ทำตามนโยบายของ ศบค.เท่านั้น
ตอกย้ำด้วยความเห็นของ “บังซุป” ศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ที่ว่า นายกฯเลือกวิธีใช้ “อำนาจพิเศษ” จัดการกับโรคระบาด ผ่านทาง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ ศบค. ซึ่งโครงสร้างของ ศบค.นั้น ได้ตัดการมีส่วนร่วมของภาคการเมือง ตัดคณะรัฐมนตรีออกจากการทํางานใน ศบค. โดยคนที่นั่งหัวโต๊ะกําหนดทิศทางกลับเป็นสภาความมั่นคงแห่งชาติ แทนที่จะเป็นสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์...เป็นการบอกว่า นายกฯให้น้ำหนักเรื่องโควิด เป็นปัญหาด้านความมั่นคง มากกว่าด้านสาธารณสุข การแก้ปัญหาจึงออกมาอย่างที่เห็น
เมื่อเป็นอย่างนี้ ทั้ง “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี และ “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.พลังประชารัฐ ก็ออกมาเป็น “องครักษ์พิทักษ์ลุงตู่” สวนกลับไปแรงๆ ประมาณว่า “ภูมิใจไทย” พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น หนีปัญหา ไม่รับผิดชอบ!!
ทำเอาเห็นภาพความอิหลักอิเหลื่อ ระหองระแหง ในพรรคร่วมรัฐบาลขึ้นมาทันที ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะพัฒนาหรือบานปลายไปถึงจุดไหน?
ล่าสุด ในการประชุม ครม.เมื่อวานนี้ (27 เม.ย.) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้โอนอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมาย 31 ฉบับ มาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว ในการอนุญาต อนุมัติ สั่งการ บังคับบัญชา หรือช่วยในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม ระงับยับยั้งในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือฟื้นฟู ช่วยเหลือประชาชน เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
พูดง่ายๆ ว่า ภายใต้กรอบกฎหมาย 31 ฉบับ ที่เกี่ยวกับเรื่องโรคติดต่อ ยา วัคซีน ยุทธภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ บรรเทาสาธารณภัย สถานบริการ การจราจรทางบก เรือ อากาศ คนเข้าเมือง ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และอีกหลายอย่าง จากเดิมที่นายกฯ ต้องสั่งการผ่านรัฐมนตรีไปดำเนินการ หลังจากนี้นายกฯ สามารถสั่งการได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านรัฐมนตรีแล้ว
เป็นรูปแบบ “ซิงเกิลคอนมานด์” ที่ลุงตู่บอกว่า ไม่ใชการ “ยึดอำนาจ” แต่เป็นเพียงการดึงอำนาจสั่งการกลับมาชั่วคราว เพื่อ “เสริมอำนาจนายกฯ” ในการตัดสินใจแก้ปัญหาโควิด ได้อย่างฉับไว ครบวงจร เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ค่อยคืนอำนาจให้เหมือนเดิม
ก็ต้องติดตามกันว่าหลังจากลุงตู่ “แอ่นอก” ออกมาจัดการปัญหาโควิดอย่างนี้แล้ว สถานการณ์จะคลี่คลายไปในเร็ววันหรือไม่... คนไทยต้องเอาใจช่วย!!
**รอบนี้โดนจัดหนัก “หมอทวีศิลป์” ยอมรับต้องใช้งัดวิชาก้นหีบออกมาดูแลจิตใจตัวเอง
วิกฤตโควิดรอบใหม่ที่ทำเอาคนไทยอ่วมอรทัย ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่ขณะนี้ แน่นอนว่า ตั้งแต่ “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ต้นตอของการแพร่ระบาดที่สังคมเพ่งเล็งไปที่ “ตำรวจ” ต่อมาการบริหารจัดการวัคซีน-เตียงผู้ป่วย รัฐบาล ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่รัฐ ก็เกิดปัญหา มีตัวอย่างอันน่าเศร้าชนิดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลฯ ไม่เว้นแต่ละวัน
โชคดีอยู่บ้างที่ในห้วงวิกฤตรากเหง้าของสังคมไทย ยังคงมีน้ำใจให้กัน ช่วยเหลือกัน ตามที่ปรากฏในโซเชียลฯ มีเซเลบ นักธุรกิจ ดารา นักร้อง อินฟลูเอนเซอร์ ออกมาแสดงน้ำใจหยิบยื่นช่วยเหลือผู้ป่วย จัดรถ ประสานหาเตียง บริจาคอุปกรณ์การแพทย์ บริจาคเงิน เปิดครัวส่งอาหารแก่บุคคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานเหนื่อยหนัก
พูดถึงเสียงก่นด่าประณามรัฐบาล ก็ต่องบอกว่า รอบนี้โดนจัดหนักกว่าครั้งไหนๆ “หมอทวีศิลป์” นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นหนังหนัาไฟ โดนด่าเละไปเหมือนกัน
ที่ผ่านมา “หมอทวีศิลป์” เป็นเหมือนหน้าตาของ ศบค.หรือรัฐบาลก็ว่าได้ จากโปรไฟล์และแบ็กกราวนด์ที่เหมาะสม ด้วยความเป็นนักสู้ชีวิตเป็นจิตแพทย์ ก่อนก้าวสู่ตำแหน่งโฆษกกรมสุขภาพจิตและสังคม และขึ้นเป็นผู้อำนวยการ และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข มาทำหน้าที่โฆษกสื่อสารกับสังคมในภาวะที่โควิดเป็นโรคระบาดใหม่ๆ เมื่อปีแรก ใครๆ ก็ยอมรับว่า เขาอาศัยความรู้ ความถนัดในการสื่อสาร คลี่คลายสถานการณ์ปริวิตกกังวลให้ความรู้สึกที่ไม่ได้แย่ลงได้ดี โดยเฉพาะคำพูด “การ์ดอย่าตก”
ตั้งแต่ทำหน้าที่มา “หมอทวีศิลป์” ก็มีข้อบกพร่องจนเป็นดรามาประปรายอยู่บ้าง หนักหน่อยก็ช่วงมีปัญหากับแอปฯ “หมอชนะ” จนมาถึง ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่รัฐเริ่ม “การ์ดตก” เสียเอง ทั้งกรณี “แรงงานเถื่อน” จากฝีมือทหาร มา “บ่อนหลงจู๊สมชาย” ฝีมือตำรวจ จนมาถึง “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ก็ฝีมือตำรวจอีก ขณะที่ประชาชนตกเป็นฝ่ายรับผลกระทบเต็มๆ นั่นทำให้ “หนังหน้าไฟ” เริ่มถูกเผากรอบเกรียมลงเรื่อยๆ
เที่ยวนี้ต้องบอกว่าหนักสุดที่เจ้าตัวก็ยอมรับ เชื่อว่า ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ตกอยู่ในความเครียด
ในความเครียดนี้ มีอารมณ์ หรือมีเรื่องของการระบายอารมณ์ หรือแสดงปฏิกิริยาที่พุ่งตรงมาที่ “โฆษก” อย่างหมอทวีศิลป์ ที่แม้แต่หมอด้วยกันยังโพสต์โซเชียลฯด่า ซึ่งก็ต้องงัด “วิชาก้นหีบ” ที่ร่ำเรียนมาในด้านจิตวิทยามาดูแลจิตใจตัวเอง
งานนี้สะท้อนให้เห็นภาพว่า โควิดรอบนี้หนักหนายิ่งนัก