ยังสงสัย! เพจเฟซบุ๊ก “ปราชญ์ สามสี” ขุดคุ้ยต่อ Agent “H” ที่คุยกับ “ลูกเกด” เป็นใคร เกี่ยวอะไรกับภารกิจ “ล้มเจ้า” พบประวัติโคตรโชกโชน “สถานทูตสหรัฐฯ” แจง “แชตหลุด” มีการสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ สหรัฐฯไม่ได้หนุนม็อบ 3 นิ้ว
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (20 เม.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“หลังจากที่มีกระแสข่าว ไลน์ส่วนตัวหลุดเผยตัวตน Agent “H” ผู้อยู่เบื้องหลัง xxx หนึ่งในแกนนำม็อบสามนิ้วในการทำภารกิจ โจมตีพระมหากษัตริย์ไทย สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจในกรณีนี้ คือ รูปหน้าซึ่งปรากฏเป็นคู่สนทนา โดยมีชื่อกำกับเพียง “H” นั้น เป็นใคร แล้วหมายเลข 5, 6, 7, 8 และ 9 ที่กล่าวถึงในแชตไลน์นั้น เป็นใครกันแน่? (และเบอร์โทร.นั้นเป็นของใครกันแน่) ข้าพเจ้าไม่ใช่คนที่เชื่ออะไรง่ายๆ เลยลองสืบค้นดู (จริงๆ ข้าพเจ้าก็เชื่อว่า หลายคนก็กำลังสนใจข้อมูลนี้เช่นกัน)
ล่าสุด ข้าพเจ้า และ ลูกเพจของเราหลายคนก็พบข้อมูลภาพที่ตรงกัน คือ เบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏในแชตไลน์ส่วนตัวหลุดนั้นเป็นของ นายxxx หนึ่งในแกนนำม็อบสามนิ้วที่หลบหนีไปยังต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ส่วน มิสเตอร์ “H” ในไลน์หลุดในเวลานี้
พบว่า มีใบหน้า เป็นของ นาย Agent “H”
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เขาไม่ใช่ “CIA” หรือ “NSA” และไม่ใช่คนของ “NED” หรือ “USAID” แต่อย่างใด แต่เป็น “DKI APCSS” ที่มีออฟฟิศ อยู่ที่ 2058 ถนนมาลูเฮีย ใกล้ภูเขาไดม่อนเฮด, โฮโนลูลู, ฮาวาย สหรัฐอเมริกา
ข้าพเจ้า ติดตามดู “DKI APCSS” ว่า มันย่อมาจากอะไรก็พบว่า มันคือ Daniel K Inouye, Asia- Pacific-Center-for-Security-Studies หรือ ชื่อเก่าคือ Asia- Pacific-Center-for-Security- Studies (APCSS.) โดยมีการก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538 ถือเป็นองค์กรที่สดใหม่มาก เมื่อเทียบกับองค์กรความมั่นคงอื่นๆ ของสหรัฐฯ เช่น Central Intelligence Agency (CIA) ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2490 และ National Security Agency (NSA) ก็ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2495 ส่วนบริษัท JUSMAGTHAI บริษัทซ่อนรูปของกองทัพสหรัฐฯในไทย นั้นก็กำเนิดในช่วงยุค 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516
และเมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรรัฐ-เอกชน อย่าง National endowment for democracy (NED) หรือที่มีฉายาว่า CIA ภาคพลเรือนนั้นก็ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2526 เป็นต้น ดังนั้น “DKI APCSS” จึงเป็นหน่วยงานที่ใหม่ถอดด้ามเลยทีเดียวนะครับ
สิ่งที่น่าสนใจคือ “DKI APCSS” เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพสหรัฐฯโดยตรงในการรักษาความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมี มอตโต้ ในการรักษาความปลอดภัยว่า Educate-Connect- Empower (ให้ความรู้ เชื่อมต่อ เสริมพลัง)
โดยมีพันธกิจขั้นต้นระบุเอาไว้ว่า “Daniel K. Inouye Asia-Pacific Center for Security Studies (DKI APCSS) is an institution that provides a forum where military and civilian leaders from the Indo-Pacific gather to address regional and global security.”
DKI APCSS ศูนย์การศึกษาความปลอดภัยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นสถาบันที่เป็นเวทีให้ผู้นำทหารและพลเรือนจากอินโดแปซิฟิกรวมตัวกัน เพื่อรักษาความปลอดภัยอยู่ในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ทั้งนี้ DKI APCSS ยังเป็นเวทีร่วมพิจารณาความมั่คงในภูมิภาค รวมทั้งเป็นตัวกลางให้เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีอำนาจตัดสินใจ และผู้กำหนดนโยบายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หารือประเด็นเร่งด่วน และเข้าใจความท้าทายที่มีผลต่อสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
อ่านมาเช่นนี้ ก็ดูเหมือนองค์กรหรือสถาบันสนับสนุนข้อมูลการศึกษาและวิจัยทางการทหารทั่วไป หลายคนอาจจะยังไม่เห็นภาพของภารกิจที่ชัดเจนของ DKI APCSS ว่า มันคืออะไรกันแน่ งั้นเรามาดู ประวัติของ Agent “H”
Agent “H” เข้าร่วม Daniel K. Inouye Asia-Pacific Center for Security Studies (DKI APCSS) ในเดือนกันยายน 2563 ในตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสทางการทูต (SDA)
หลังจากดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกการเมืองที่สถานทูตสหรัฐฯในกรุงเทพฯเป็นเวลา 3 ปี, ประเทศไทย.
Agent “H” เป็นสมาชิกของกระทรวงการต่างประเทศอาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศโดยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา (เทียบเท่าทหารยศพันเอกพิเศษ) ก่อนหน้าที่จะได้รับมอบหมายในกรุงเทพฯ เขาดำรงตำแหน่งรองที่ปรึกษาทางการเมืองที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาในแบกแดด จากประสบการณ์ 31 ปี ทั้งในต่างประเทศและในวอชิงตัน
เขามีความเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยการเมือง-การทหารและการมีส่วนร่วมทางการทูตในรัฐที่เปราะบางและหลังความขัดแย้ง Agent “H” เป็นผู้รับรางวัล Superior Honor and Meritorious Honor Awards ของกระทรวงการต่างประเทศ
Agent “H” เคยดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 9 ปี ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเมืองในประเทศไทยระหว่างปี 2560-2563 เขาได้ส่งเสริมยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกและช่วยวางแผนการเยือนของเลขาธิการแห่งรัฐทิลเลอร์สันและปอมเปโอ นอกจากนี้ เขายังจัดการสังเกตการณ์การเลือกตั้งระดับชาติของไทยในปี 2562 ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2557
Agent “H” เคยดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าคณะเผยแผ่ในติมอร์-เลสเต ซึ่งเขาได้เข้าร่วมโครงการสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกของกระทรวงการต่างประเทศในประเทศนั้น และอำนวยความสะดวกในการมีส่วนร่วมของผู้นำติมอร์ในการสัมมนาของ APCSS เกี่ยวกับการร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2546-2550
และยังเป็นเจ้าหน้าที่ทางการเมืองของสถานทูตสหรัฐฯในจาการ์ตา ซึ่งเขามีส่วนร่วมในนโยบายต่างประเทศของชาวอินโดนีเซียโดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในองค์กรพหุภาคีและองค์กรระหว่างประเทศรวมถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนและเอเชีย เฮนรี ยังรายงานเกี่ยวกับความไม่สงบแบ่งแยกดินแดนในปาปัวตะวันตก โดยเดินทางไปจังหวัด 15 ครั้งในรอบสี่ปี
Agent “H” ยังได้รับมอบหมายงานหลายอย่างเกี่ยวกับการพูดภาษาเยอรมันในยุโรป เขาได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯในเบอร์ลินในปี 2539-2541 และเป็นนักวิเคราะห์ของเยอรมนี ออสเตรีย และ สวิตเซอร์แลนด์ ในสำนักข่าวกรองและการวิจัยตั้งแต่ปี 2543-2546 ในฐานะเจ้าหน้าที่ฝ่ายการทหารทางการเมืองบนโต๊ะทำงานของเยอรมันในปี 2536-2539
และยังได้ทำงานเกี่ยวกับสถานะของกองกำลังและประเด็นการประจำการตลอดจนการขยายและการประสานงานของนาโตในการสู้รบในคาบสมุทรบอลข่าน
การศึกษา
ปริญญาตรี ได้รับการยกย่องในภาษาฝรั่งเศสและเยอรมัน จาก Rhodes College และปริญญาโทสาขา European Studies จาก Indiana University ซึ่งทำวิทยานิพนธ์เรื่อง German-U.S. ความสัมพันธ์ในช่วงวิกฤตลิเบีย เมื่อปี 2528 ได้รับรางวัลวิทยานิพนธ์ยอดเยี่ยมแห่งปีของภาควิชา ในระหว่างการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทเขายังศึกษาที่มหาวิทยาลัย Tuebingen และ Kiel ในเยอรมนี ในปี 2010 เขาได้รับปริญญาโทด้านความมั่นคงแห่งชาติและการศึกษายุทธศาสตร์จาก US Naval War College ในนิวพอร์ต RI วิทยานิพนธ์ของเขาในหลักสูตรการปฏิบัติการทางทหารร่วมของโครงการ คือ การศึกษา Operation Astute ซึ่งเป็นการนำทางทหารของออสเตรเลียในติมอร์-เลสเต ในการตอบสนองต่อความไม่สงบในปี 2549 เขาพูดภาษาบาฮาซาอินโดนีเซีย เยอรมัน และ ฝรั่งเศส บ้านเกิดของเขา คือ ลิตเติลร็อกอาร์คันซอ
หลังจากที่อ่านประวัติกันมายาวยืดก็พอจะเห็นว่า คนๆ นี้ เป็นคนเช่นไร หลังจากนี้ เราคงต้องติดตามข่าวเพิ่มเติมละครับว่า สรุปแล้วเขาจะใช่คนเดียวกับที่เคลื่อนไหวในไลน์แชตหลุดในเวลานี้หรือไม่? และ องค์กร DKI APCSS ที่มีศูนย์กลางในฮาวายจะมาเกี่ยวข้องอะไรในเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่ประเทศไทย (สยามรัฐ/ต่างประเทศ)
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ข้อความหลังมีกลุ่มประชาชนคนไทยที่มีความจงรักภักดี ไปยื่นหนังสือที่สถานทูตสหรัฐฯ ถึงรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้ชี้แจงกรณีแชตหลุด และให้เลิกแทรกแซงการเมืองไทย
โดยระบุว่า “เชื่อได้จริงหรือ? สถานทูตสหรัฐฯ ปัดให้เงินหนุนม็อบ 3 กีบ อ้างแชตหลุด จนท.ทูตคุย “ลูกเกด” ของปลอม เผย Henry ออกจากไทยไป ปี 63
จากกรณีที่มีแชตหลุดที่อ้าง เป็นของ “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว ที่มีการพูดคุยกับชาวต่างชาติที่ใช้ชื่อในไลน์ว่า “Agent H.” เหมือนเป็นการรายงานสถานการณ์การเคลื่อนไหวในประเทศไทยของม็อบสามนิ้ว ซึ่งนามแฝง “Agent H.” มีคนพุ่งเป้าไปที่ Henry Rector ซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ
ต่อมาทางด้าน ลูกเกด ก็ได้ออกมาเปิดใจหลังจากมีแชตหลุดออกมา ว่า ทำงานกับสถานทูต และ UN จริงๆ และมีการรายงานสถานการณ์เรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนให้กับสถานทูต หรือ UN ซึ่งบอกว่า เป็นเรื่องปกติมาก
ล่าสุด ทางด้าน Nicole Fox โฆษกหญิงของสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับ บางกอกโพสต์ภาษาอังกฤษ ซึ่งทางทีมข่าวเดอะทรูธ ได้แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษจากเว็บไซต์ ว่า การสนทนาทางไลน์ระหว่างผู้นำการประท้วงและอดีตเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯเป็น “การสร้างขึ้นโดยสมบูรณ์” ทางเราได้สังเกตโพสต์บนโซเชียลมีเดียในช่วงสุดสัปดาห์ของวันที่ 17-18 เมษายน โดยอ้างว่า เป็นการแสดงแชตทาง LINE ระหว่างอดีตเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทย เป็นเรื่องหลอกลวง
“การแชต LINE เป็นการสร้างขึ้นอย่างแน่นอน เจ้าหน้าที่ที่เป็นปัญหา เดินทางออกจากประเทศไทยในเดือนกรกฎาคมปี 2020 ไม่มีบัญชี LINE และไม่มีการติดต่อสื่อสารใดๆ กับคนไทยที่อ้างถึงในโพสต์นี้” Nicole Fox กล่าว
เธออ้างถึงการเปิดเผยภาพหลุดหน้าจอแชตทาง Line ที่พูดคุยเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทย รวมถึงการประท้วงซึ่งเป็นเรื่องระหว่าง ชลธิชา แจ้งเร็ว นักเคลื่อนไหวกับอดีตนักการทูตที่ระบุว่า เป็น “H” ซึ่งเป็นอดีตที่ปรึกษาทางการเมืองของสถานทูตที่ชื่อ Henry
ภาพหลุดหน้าจอบนโซเชียลมีเดียเมื่อไม่นานมานี้ ได้รับความสนใจจากชาวเน็ตไทย โดยบางคนวิจารณ์ว่า สหรัฐฯเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในประเทศของไทย ตามที่ น.ส.ชลธิชา ยังได้ออกมาพูดออกอากาศว่า ในขณะที่เธอจะอัปเดตให้นักการทูตต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทย เธอจะไม่คุยกับใครจากสถานทูตทางไลน์ เพราะมันไม่มีความปลอดภัย
จากจุดยืนของสหรัฐฯที่มีต่อการเมืองไทย Nicole Fox อ้างถึงแถลงการณ์ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการบิดเบือนข้อมูลตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2563 ปีที่แล้ว และย้ำว่า รัฐบาลสหรัฐฯไม่ได้ให้เงินสนับสนุนหรือให้การสนับสนุนการประท้วงใดๆ ในประเทศไทย
คำแถลงเกี่ยวกับกิจกรรมของปีที่ผ่านมา ระบุว่า “เอกอัครราชทูตและบุคลากรของสถานทูตได้พบปะพูดคุยกับคนไทยในวงกว้าง ไม่ใช่แค่กับนักเรียนและเยาวชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรัฐบาล ทหาร ธุรกิจ และผู้นำอื่นๆ ด้วยการประชุมดังกล่าว ไม่ได้หมายความถึงการเห็นด้วยกับมุมมองทางการเมืองใดๆ
“รัฐบาลสหรัฐอเมริกาไม่ได้ให้เงินทุน หรือให้การสนับสนุนการประท้วงใดๆ ในประเทศไทย สหรัฐอเมริกาไม่สนับสนุนบุคคลหรือพรรคการเมืองใดๆ เราสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม”
แน่นอน, ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือ ประวัติของ Agent “H”
ที่ระบุว่า “...เขามีความเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยการเมือง-การทหารและการมีส่วนร่วมทางการทูตในรัฐที่เปราะบางและหลังความขัดแย้ง...”
อ่านและทำความเข้าใจให้ดีจะพบว่า มีเหตุการณ์อะไรหรือไม่ในประเทศไทย ที่ทำให้เขาต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะยื่นมือเข้ามาเอง หรือ เข้ามาในฐานะตัวแทนองค์กร
คำตอบคือ มีนักการเมือง นักเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เปลี่ยนผ่านการเมืองการปกครอง และรู้อยู่แล้วว่า อาจต้องผ่านสงครามกลางเมือง แล้วค่อยนำมาสู่การจัดรูปการเมืองการปกครองใหม่ และคนไทย ก็เริ่มรู้แล้วว่า พวกเขาต้องการ “ล้มเจ้า” ด้วย จึงจะมีการจัดรูปการปกครองได้อย่างสมบูรณ์
อีกส่วนหนึ่ง Agent “H” เคยดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าคณะเผยแผ่ใน ติมอร์-เลสเต ซึ่งเขาได้เข้าร่วมโครงการสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกของกระทรวงการต่างประเทศในประเทศนั้น และอำนวยความสะดวกในการมีส่วนร่วมของผู้นำติมอร์ในการสัมมนาของ APCSS เกี่ยวกับการร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2546-2550...
อย่าลืมว่า ติมอร์-เลสเต คือ ประเทศตัวอย่าง ที่ถูกจัดรูปการปกครองใหม่ หลังเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง จนไม่สามารถรักษาสถานการณ์เอาไว้ได้ ส่วนว่า มีใครเข้าไปจัดรูปการปกครองให้ ก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว
ดังนั้น ถ้าดูการเชื่อมโยง และประวัติคนต่างชาติที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องแชตหลุดปลอมจริงหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องบุคคลในแชตหลุด ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ทำไม มันทำให้เห็นที่มาที่ไป อย่างสอดรับกันเหลือเกินก็ไม่รู้ นับว่าน่าคิดอย่างยิ่ง