เมืองไทย 360 องศา
กลายเป็นข่าวฮือฮาได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กับการที่ทางการไทยเพิกถอนวีซ่าฝรั่งสัญชาติอเมริกัน ที่ชื่อ “เดวิด สเตร็คฟัสส์” ด้วยเหตุผลทางด้านความมั่นคงของชาติและสถาบันเบื้องสูง หลังจากรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เปิดโปงว่า แท้จริงแล้วเขาคือเจ้าหน้าที่ในหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ หรือ “ซีไอเอ” ที่ฝังตัวอยู่ในประเทศไทยมานานร่วม 35 ปี โดยหน้าฉากทำงานเป็น ผอ.ศูนย์แลกเปลี่ยนการศึกษาระหว่างประเทศ (CIEF) ใน ม.ขอนแก่น
แน่นอนว่า ฝรั่งคนนี้แฝงตัวมาในรูปนักวิชาการ มีการเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับบรรดานักศึกษา อาจารย์ มหาวิทยาลัยมานานหลายสิบปี และในวงการรับรู้กันดีถึงการเคลื่อนไหวในแนวทางต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะการคงอยู่ของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งที่ผ่านมา ถือว่าทำได้แนบเนียน สามารถสร้างแนวร่วมในพื้นที่ภาคอีสานได้อย่างฝังรากลึก อย่างที่ทราบกันอยู่
ที่ผ่านมา ตามข้อมูลบอกว่า เขาได้แต่งงานกับสาวไทยหลายคน รวมถึงมีลูกหลายคน และมีรายงานว่าได้ส่งไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ
หลายคนจึงมองว่า การเพิกถอนวีซ่ากับฝรั่งอเมริกันคนนี้ ถือว่าช้าไปด้วยซ้ำไป เพราะที่ผ่านมา เขาได้เคลื่อนไหวในลักษณะทำลายความมั่นคง โดยเฉพาะในเรื่องบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อสามารถเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ได้อย่างเปิดเผย กับการเคลื่อนไหวของพวก “ม็อบสามนิ้ว” ฝรั่งคนนี้เหิมเกริมถึงขั้นขึ้นเวที “ดีเบตในเรื่อง มาตรา 112” เลยทีเดียว
และเมื่อล้วงลึกเข้าไปก็จะเห็นถึงความเชื่อมโยงถึงกันแบบแน่นแฟ้นกับ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ ที่สนับสนุนการชุมนุมของพวกม็อบสามนิ้ว นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธุ์ ผู้ต้องหาคดี มาตรา112 ที่หลบหนีคดีในต่างประเทศ รวมไปถึง นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ “ส.ศิวรักษ์” และยังมีรายงานว่า เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญกับ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” แกนนำม็อบสามนิ้ว ที่เคลื่อนไหวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีแชตไลน์ของ น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ “ลูกเกด” แกนนำกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตยเครือข่ายเดียวกับพวก “ม็อบสามนิ้ว” หลุดออกมาว่อนโซเชียลฯ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันจนกลายเป็นประเด็นร้อนแรง โดยมีการพูดถึงชื่อในแชตว่า “Agent H.” ว่าใครกันแน่ โดยเฉพาะในแชตที่มีการรายงานสถานการณ์การชุมนุมที่เร่งเร้าให้เกิดความรุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต เพื่อสร้างสถานการณ์วุ่นวายจน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควบคุมสถานการณ์ไมได้
หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า “Agent H.” คนนี้ น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสถานทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย และที่ผ่านมา เคยปรากฏตัวที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน โดยมาสังเกตการณ์พร้อมกับเจ้าหน้าที่ชาติตะวันตกอีกหลายคน ระหว่างที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เชิญมาสังเกตการณ์ระหว่างที่เขาไปพบตำรวจในคดีทางการเมืองก่อนที่จะมีการสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 62
นั่นคือ แบ็กกราวนด์คร่าวๆ ที่เชื่อว่า หลายคนคงรับรู้กันไปแล้ว เพราะถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ร้อนแรงในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ได้เห็นจากรายงานดังกล่าวจะได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในแบบที่ “กลับหัวกลับหาง” อย่างไม่น่าเชื่อว่า “คนพวกนี้” โดยเฉพาะพวกม็อบสามนิ้วทั้งหลาย รวมไปถึงนักวิชาการที่ว่า กลายมาเป็นพันธมิตรกับพวก “สหรัฐฯและซีไอเอ” ที่ถือว่าเป็นตัวแทนของพวก “ทุนนิยมสามานย์” ที่สร้างความเกลียดชังไปทั้งโลก เพราะเข้าไปแทรกแซง หรือหากพูดแบบบ้านๆ ก็ต้องบอกว่า “ไปแส่” เรื่องชาวบ้านเขาทุกเรื่องให้เกิดความวุ่นวาย เพื่อให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์เท่านั้น
ปัญหาในตะวันออกกลาง ในอเมริกาใต้ ในอเมริกากลาง ในแอฟริกา ที่มีแหล่งทรัพยากรล้วนมีปัญหาถูกแทรกแซง ทั้งยังมีการก่อการรัฐประหารโดยตรง ลอบสังหารผู้นำบางประเทศที่ทำให้ตัวเองเสียประโยชน์ หรือการสนับสนุนผู้นำเผด็จการในบางยุคก็มีตัวอย่างให้เห็นมาตลอด
แต่ฉับพลันที่ “เดวิด สเตร็คฟัสส์” ถูกแฉว่าเป็น “สายลับ” มีพฤติกรรมล้มล้างสถาบันฯ ในประเทศไทย และมีความเชื่อมโยงกับพวก “ไผ่ ดาวดิน” รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย มันก็กลายเป็นเรื่องที่จับตามองเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากพิจารณาจากแนวทางการเคลื่อนไหวของแกนนำม็อบสามนิ้ว ที่ต่อต้านสถาบันฯ ต่อต้านชนชั้น เหมือนกับพยายามยกเอา “คณะราษฎร” มาเป็นฮีโร่ลักษณะจึงออกมาในแนว “ฝ่ายซ้าย” ซึ่งตรงกันข้ามกับ “จักรวรรดินิยมอเมริกา” ที่เคยถูกนักศึกษารุ่นพี่ในอดีตในยุคเดือนตุลาขับไล่ และเข้าป่าจับอาวุธลุกขึ้นสู้มาแล้ว
แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป กลายเป็นว่า นักศึกษาไทยกลับหันมาจับมือกับ “ซีไอเอ” หน้าตาเฉย มีเป้าหมายเพื่อบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย เป็นเรื่องที่อธิบายและทำใจยากพอสมควรที่ปัจจุบันนักศึกษา และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองพวกนี้ กำลังร่วมเคลื่อนไหวกับพวกชาติตะวันตกที่ถูกมองว่าเป็น “ทุนสามานย์” ปล้นชิงทรัพยากรประเทศที่อ่อนแอกว่า ซึ่งหากรายงานข้างต้นเป็นจริงก็อาจเป็นครั้งแรกๆ ในโลกก็เป็นได้ ที่มีการจับมือกันระหว่างขบวนนักศึกษากับ “ซีไอเอ-สหรัฐฯ”!!
