ผู้อำนวยการศูนย์แลกเปลี่ยนการศึกษาระหว่างประเทศ ม.ขอนแก่น “เดวิด สเตร็คฟัสส์” ที่ถูกทางการไทยระงับวีซ่า อ้างเหตุที่ทำให้ถูกแบน เพราะรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” พร้อมปฏิเสธว่าเป็นซีไอเอ แต่ยอมรับว่ารับเงินจากองค์กรเนด (NED) ของสหรัฐฯ เพราะตรงกับวัตถุประสงค์
วันนี้ (16 เม.ย.) จากกรณีที่ นายเดวิด สเตร็คฟัสส์ อายุ 61 ปี ผู้อำนวยการศูนย์แลกเปลี่ยนการศึกษาระหว่างประเทศ (CIEE) มหาวิทยาลัยขอนแก่น ถูกทางการไทยระงับวีซ่า ด้วยเหตุผลเพื่อความมั่นคงของชาติและความมั่นคงของสถาบันเบื้องสูงนั้น ล่าสุด นายเดวิด ให้สัมภาษณ์กับ นายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส หนังสือพิมพ์ข่าวสด ในตอนหนึ่งระบุว่า สาเหตุที่ทำให้ตนถูกทางการไทยระงับวีซ่า ไม่ใช่เพราะคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยตรง เช่น ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ที่พบกับ นพ.วรงศ์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้ตนมีปัญหาที่หลัง รวมทั้ง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” (Sondhi Talk) ที่กล่าวหาว่าตนเป็นซีไอเอ รวมทั้งเดอะอีสานเรคคอร์ด และหลายองค์กรในประเทศไทย ก็ได้เงินจากองค์กรเนด (National Endowment for Democracy หรือ NED) ที่มาจากสหรัฐอเมริกา ตรงกับวัตถุประสงค์ของแต่ละองค์กร ไม่ว่าจะเป็นโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw), เว็บไซต์ประชาไท, ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ก็มีวัตถุประสงค์ตรงกัน เมื่อถามว่า เป็นหน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐฯ หรือ ซีไอเอ (CIA) หรือไม่ นายเดวิด กล่าวว่า ตนไม่ได้เป็นซีไอเอ และระบุว่า สมัยที่ตนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ถ้าใครกล่าวหาว่าเป็นซีไอเอ ถือว่าเป็นการดูถูกอย่างหนัก เพราะช่วงนั้นกลุ่มหัวก้าวหน้าในสหรัฐฯ ไม่ไว้ใจซีไอเอ เพราะถ้าเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลก็มีประวัติ แต่ตนไม่เป็น
เมื่อถามว่า ตอนนี้มีการจับตาออฟฟิศสำนักข่าวอีสานเรคคอร์ดหรือเปล่า นายเดวิด กล่าวว่า ที่ผ่านมา ก็ได้ข่าวว่า กอ.รมน. แวะมา หรือตำรวจกำลังหาบริเวณนี้ หรือคนที่ขายก๋วยเตี๋ยวตรงข้าม บอกว่าจะมีตำรวจอยู่แถวๆ สำนักงาน แต่ตนไม่เคยเจอ แต่ไม่ใช่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพราะตอนมาที่สำนักงานก็ต้องส่งแผนที่ให้เขา เลยคิดว่าไม่ถูก ไว้ใจ ตม.แน่ แต่ ตม.เคยมาติดต่อว่า เคยเห็นคนที่ทำงานผิดกฎหมายอยู่แถวสำนักงานไหม ในช่วงที่มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษา แต่ตำรวจที่อื่นในช่วงหลังๆ น.ส.หทัยรัตน์ พหลทัพ บรรณาธิการเดอะอีสานเรคคอร์ด ได้ข่าวมาว่า มีตำรวจมาหา ครั้งหนึ่งผู้จัดการก็รู้สึกหงุดหงิดมากที่มีคนมาทำอะไรที่อนุสาวรีย์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ถามเดอะอีสานเรคคอร์ด แต่พวกเขาก็ไปทำข่าวเฉยๆ แต่เขาก็บอกว่าเป็นพวกที่เรา นักข่าวที่ทำข่าวในวันนั้นเป็นนักศึกษาฝึกงาน เป็นคนขอนแก่น เขาก็ไปถ่ายรูปแล้วก็ถาม วันนั้นผู้จัดการก็ทำข่าวเหมือนกัน
เมื่อถามว่า สถานะของอาจารย์ในประเทศไทยยังอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่ ได้ปรึกษานักกฎหมายหรือไม่ นายเดวิด กล่าวว่า ตอนนี่้กระบวนการของตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ช่วงแรกก็ปกติ ส่งคนมาตรวจสอบก่อน ถามคำถามแบบกว้างๆ เขาก็กลับไป ต่อมามีตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดขอนแก่น (ตม.จว.ขอนแก่น) เข้ามานั่งคุยกันทีละคน ก็ยังอยู่ในกระบวนการปกติ หลังจากนั้น ให้ไปคุยที่ ตม.เอง ในวันนั้นมีชาวอเมริกัน 5 คน ก็คุยกันไปทีละคน พิมพ์คำตอบและลงนาม ซึ่งยังปกติอยู่ ก่อนที่จะส่งไปกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 4 (ตม.4 ซึ่งนายเดวิดเรียกว่า ตม.ภาค) แล้วตอบกลับมาก็จบ แต่ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ตม.ภาค ติดต่อมาบอกว่า มีคำถามอยากจะสอบถามอีก ก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ ก็ถามลูกจ้าง เพื่อนร่วมงานทีละคน ตอนที่เข้ามาเมื่อเช้านี้ เริ่มรู้สึกว่าทุกบริษัทเป็นแบบนี้เหรอ ที่มี ตม.ภาคเข้ามาด้วยเหรอ ก็เริ่มสงสัยเพราะวีซ่าจะหมดอายุในวันที่ 18 เม.ย. และวันที่ 19 เม.ย.ก็จะฟังผล ปรากฏว่าไม่ได้ พอขอขยายเวลาวีซ่า 30-60 วัน ในช่วงโควิด-19 ก็ตอบว่าไม่ใช่เป็นข้อยกเว้น คุณต้องออกพรุ่งนี้ ก็ไม่มีเวลาที่จะทำอะไร ตนไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็เริ่มกลัวว่า เพราะบ้านอยู่ที่นี่ ครอบครัวอยู่ที่นี่ ชีวิตก็อยู่ที่นี่ ตนไม่รู้สึกว่าสหรัฐฯ ก็เป็นบ้าน คนที่อพยพไปที่อื่นล้านๆ คน เชื่อว่า อาจจะให้เวลาไม่ถึง 60 วัน หรือลองดูวีซ่าอีกแบบหนึ่ง ไม่ได้วีซ่าธุรกิจแล้ว ถึงแม้ว่าลงทุนแล้ว ใช้วิธีการอื่นๆ ก็ไม่ให้อยู่ดี
"ผมอุทิศตัวให้อีสาน ไม่ว่าจะเป็นสมัชชาคนจน ไม่ว่าจะเป็นนักต่อสู้เพื่อความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นใครๆ ก็อยู่ที่นี่ตลอด ก็รู้สึกว่าเป็นพวกของผม” นายเดวิด กล่าว