ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เมื่อมีทั้ง “บิ๊กสีกากี” ไปจนถึงยากูซ่ามีเอี่ยว คอยดูกันว่า “พล.อ.ประยุทธ์-พล.ต.อ.สุวัฒน์” จะจบ “คริสตัล คลับ” ต้นตอโควิดลามหนักเสียหายกันยับรอบนี้อย่างไร??
หลังเทศกาลสงกรานต์ น่าจะได้เห็นมาตรการคุมโควิด-19 อย่างเข้มข้นขึ้นจากรัฐบาล เพราะรอบใหม่ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่นี้ หากนับจากวันที่ 1 เม.ย. 64 ที่ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิดเพียง 26 ราย แต่พอถึงวันที่ 3 เม.ย. ซึ่งเป็นวันแรกที่พบว่ามีผู้ติดเชื้อ 84 ราย จาก “คลัสเตอร์สถานบันเทิง” และจากนั้นก็ลุกลามอย่างรวดเร็วเป็นวงกว้าง ผสมกับคลัสเตอร์อื่นๆ ตัวเลขภาพรวมพุ่งหลักหลายร้อยจนทะลุเป็นพัน 1,335 ราย ล่าสุดคือ วันที่ 15 เม.ย. เพิ่มขึ้นเป็น 1,543 ราย รวมระยะเวลา 15 วัน มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 8,590 ราย นับเฉพาะส่วนการติดเชื้อจากสถานบันเทิงในพื้นที่ กทม. ยอดผู้ติดเชื้อรวมสะสมก็ปาเข้าไป 1,182 ราย
มาตรการที่จะ “ล็อกดาวน์” หรือ คุมโซนพื้นที่สีแดง ก็คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ที่สังคมเจ็บปวดใจ คือ การแพร่ระบาดทุกครั้งล้วนมาจากความบกพร่องของ “ฝายปกครอง” ครั้งแรกสนามมวยก็ทหาร ครั้งที่สองแรงงานต่างด้าวและบ่อน ก็มาจากทหารและตำรวจ ส่วนครั้งนี้ คลัสเตอร์บันเทิง เป็นความดูแลของ “ตำรวจและมหาดไทย” ที่ปล่อยให้แหล่งอโคจรทำความเดือดร้อนให้กับสังคมอย่างหนักหนาสาหัสกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา
แน่นอนว่า เมื่อชี้ไปต้นตอใหญ่ย่อมต้องพูดถึงสถานบันเทิงย่านทองหล่อ โดยเฉพาะ “คริสตัล คลับ” และเมื่อกระแสสังคมกดดัน จึงมีการลงโทษ ทั้งผู้จัดการร้าน และตามด้วยการโยกย้ายตำรวจในท้องที่ตามฟอร์ม
คราวนี้ลองมาดูโครงสร้างผับหรู “คริสตัล คลับ” กับ “เอมเมอรัลด์ ผับ” ซึ่งยังคงดำมืดไม่ปรากฏชัดว่า กลุ่มทุนที่แท้จริงมีใครกันบ้าง ท่ามกลางเสียงลือต่างๆนานา บ้างก็ว่ามีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง บ้างก็ว่ามีกลุ่มคนมีสี ทั้งเขียว และกากี โดยใช้ชื่อคนอื่นเป็นนอมินีถือหุ้น หรือเชื่อกันว่าเกี่ยวโยงกับกลุ่มมาเฟียญี่ปุ่น หรือ “แก๊งยากูซ่า” โดยโยงถึงกิจการร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดบริการอยู่ในซอยทองหล่อ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักธุรกิจญี่ปุ่น เนื่องจากมีสาวสวยที่คัดสรรแล้วมานั่งเป็นเพื่อนร้องเพลงด้วย ซึ่งต่อมาถือเป็นจุดขายโดยพัฒนามาจากบาร์ญี่ปุ่น ย่านธนิยะ อันเป็นที่เลื่องลือมาหลายสิบปีแล้ว
เมื่อต่อจิ๊กซอว์กับบาร์ญี่ปุ่น ย่านธนิยะ พื้นที่ สน.บางรัก ชื่อของ “ฮิโรกิ” นักธุรกิจสีเทาชาวญี่ปุ่น ที่เป็นเจ้าพ่อธนิยะตัวจริง ก็แวบขึ้นมา เพราะเขามีกิจการบาร์ญี่ปุ่นขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในซอยธนิยะ บริการพิเศษของบาร์เขา คือ นอกจากดื่มกิน ร้องเพลงคาราโอเกะ แล้วยังสามารถใช้บริการทางเพศในบาร์ได้เลย โดยเลี่ยงขึ้นชั้นบนที่กั้นเป็นห้องรองรับ เปิดบริการนักเที่ยวชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ว่ากันว่า “ฮิโรกิ” นับเป็นขวัญใจตำรวจระดับบริหารของตำรวจท้องที่ เพราะมีผลประโยชน์และข้อเสนอดีๆ มาให้เสมอ และเชื่อกันว่า ทุนส่วนหนึ่งของ “คริสตัล” และ “เอมเมอรัลด์ผับ” มาจากเขาคนนี้ โดยที่ “อ๊อด มายาบิ” เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้นเอง
น่าสนใจว่า นาทีนี้สังคมได้รู้แล้วว่า “คริสตัล คลับ” ที่มีข้อมูลว่า “อ๊อด มิยาบิ” หรือชื่อจริงว่า เกียรติพงษ์ คำต่าย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งคริสตัล และ เอมเมอรัลด์ ถูกขุดถูกคุ้ยอย่างหนัก และเชื่อกันว่า “อ๊อด มิยาบิ” มีชื่อเป็นเจ้าของ แต่ก็เป็นประเภทออกหน้า หรือ “นอมินี” แต่คนออกเงินตัวจริงและมีส่วนเชื่อมโยงกับหุ้นส่วนต้องระดับใหญ่กว่าดังกล่าว
สืบสาวกันไปมา บริษัทที่ประกอบกิจการร้านมิยาบิ ซึ่งมีทั้งร้านอาหารญี่ปุ่นและบาร์ญี่ปุ่น ซึ่งมีคาราโอเกะด้วยนั้น ชื่อว่า “บริษัท กินซ่า เอ แอนด์ ที จำกัด”
จากการตรวจสอบข้อมูลผู้ถือหุ้นบริษัท กินซ่า เอ แอนด์ ที จำกัด พบว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ “เกียรติพงษ์ คำต่าย” หรือ อ๊อด มิยาบิ ถืออยู่ 44% มูลค่า 1,760,000 บาทและพบว่ามีชื่อ “พันธนะ นุชนารถ” ร่วมถือหุ้นด้วย 15% มูลค่า 600,000 บาทโดยชื่อหุ้นส่วนรายนี้ตรงกับ “พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ” ผบก.สส.สตม ต่อมาเมื่อมีผู้สอบถามเจ้าตัว จึงยอมรับว่า เป็นคนเดียวกันแต่เป็นผู้ถือหุ้นในส่วนของร้านอาหารญี่ปุ่นเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคริสตัลผับที่เกิดเรื่อง
ประวัติพอสังเขปของนายตำรวจผู้นี้ เป็น นรต.รุ่น 48 รับราชการวนเวียนอยู่ในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางกระทั่งล่าสุดรับตำแหน่ง ผบก.สส.สตม. ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดปรารถนาของตำรวจทุกคน แต่ถึงกระนั้น “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร. ยังขอยืมตัวไปทำหน้าที่ชุดเฉพาะกิจที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ “ตำรวจไซเบอร์” ซึ่งก่อนหน้ามีผลงานกวดล้างบ่อนพนันออนไลน์อย่างหนัก แต่ต่อมาค่อยๆ ซาไป โดยมีข่าวกระเซ็นกระสายออกมาทำนองว่า มีตำรวจใหญ่อักษรย่อ “ม.ใหญ่” เป็นคนรับหน้าเสื่อ เคลียร์บ่อนพนันออนไลน์ทุกชนิดและบางครั้งหากมีการเลี้ยงรับรองแขกวีไอพี ที่ประสงค์เที่ยวดื่มกิน แต่ไม่ประสงค์ออกค่าใช้จ่าย ก็จะเรียกบรรดาเจ้าของบ่อนพนันออนไลน์มาเป็นเจ้ามือจ่ายให้อย่างไม่อั้นโดยทุกครั้งจะมาที่ผับ-เลาจน์ ชื่อดังในซอยทองหล่อ ประมาณว่า กินรวบ กินไม่แบ่งใคร
ทั้งหลายทั้งปวงต่อกรณีนี้ สังคมย่อมรับไม่ได้ แค่การดำเนินการแบบลูบหน้าปะจมูกของฝ่ายปกครอง “คริสตัล คลับ” แหล่งแพร่เชื้อมาโป๊ะแตก คล้ายๆ กรณีบ่อน “หลงจู๊สมชาย” ที่สุดท้ายมี “ตัดตอน” กันไป ทั่งๆ ที่มีบิ๊กสีกากีหนุนหลัง ก็ปล่อยลอยนวลกัน
งานนี้ กลิ่นทะแม่งๆ ว่าตะไม่ต่างกัน “ตัดตอน” ได้ก็ตัดตอนหรือไม่ ?
เลาจน์ที่มีบิ๊กสีกากีไปจนถึงยากูซ่า ของญี่ปุ่น อิทธิพลและผลประโยชน์ที่หากินร่วมกันมานาน จึงมีเครื่องหมายคำถามไปยัง “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร. และ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะกำกับดูแลตำรวจ จะทำอย่างไรกับ “บิ๊กสีกากี” ที่ว่ากันว่า เป็นคีย์แมนอยู่เบื้องหลังสถานบันเทิงย่านทองหล่อ ??
ความเสียหายอย่างเหลือคณานับที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ ใครจะเป็นผู้ชดใช้ และ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะจบเรื่องนี้อย่างไร ?... โปรดติดตามกันต่อไป
**“สมศักดิ์ เจียมฯ” มองขาด อดไปก็ตายเปล่า แนะ “เพนกวิน” กลับมากินข้าว เพจ “ราษฎร” เห็นพ้องวอนช่วยกันส่งจดหมาย 112 ฉบับ เกลี้ยกล่อมถึงในคุก แต่ยังมีคนอำมหิต โวยลั่นทรยศอุดมการณ์
คนมีสติปัญญาระดับศาสดาของม็อบ 3 นิ้ว อย่าง “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” คงจะมองขาดแล้วว่า ถึงอย่างไร ณ สถานการณ์ปัจจุบันเด็กๆ ม็อบ 3 นิ้ว ไม่มีทางที่จะบรรลุผลตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อ โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ได้สำเร็จ แม้กระทั่งข้อเรียกร้องเฉพาะหน้า อย่างแคมเปญ “ปล่อยเพื่อนเรา” ที่พยายามสร้างแรงกดดันเพื่อให้ศาลอนุญาตประกันตัวแกนนำที่ถูกจับด้วยข้อหา ม.112 จากกรณีการชุมนุมเมื่อ 19-20 ก.ย. 63 และคดีเกี่ยวเนื่อง โดยมีไม้ตายคือ การให้ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ อดข้าวประท้วงในคุก และ ต่อมา “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ก็อดข้าวตามเป็นเพื่อน
“เพนกวิน” ไม่กินข้าวนอกจากกินแต่นม และน้ำหวานมา 30 วันแล้ว ขณะที่ “รุ้ง” อดมา 16 วัน ก็ยังไม่มีวีแววว่าแกนนำที่ถูกจับด้วยข้อหา ม.112 รวมทั้ง รุ้ง-เพนกวิน จะได้รับการประกันตัว แม้จะมีการยื่นขอมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“สมศักดิ์ เจียมฯ” คงมองเห็นแล้วว่า ถ้าขืนยังอดข้าวต่อไปก็คงจะตายเปล่า เมื่อตอนเช้ามืดวันที่ 15 เม.ย.(ตามเวลาในไทย) “สมศักดิ์ เจียมฯ” จึงโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “ผมคิดมาหลายวันจะเขียนดีไหม? เขียนแล้วได้ประโยชน์อะไรไหม? เขียนแล้วจะถึงหูผู้รับหรือไม่? อยากบอก เพนกวิน ว่าเลิกอดอาหารเหอะ ตอนนี้เข้าขีดอันตรายแล้ว บางทีอาจเกิดอาการฉับพลันได้ ผมยังไม่มีโอกาสแลกเปลี่ยนกับคุณ ในห้องเรียนเลย ยังไงก็รอผมหน่อย”
ข้อเสนอของ “สมศักดิ์ เจียมฯ” สอดคล้องกับกระแสที่ปรากฏออกมาทางเพจเฟซบุ๊ก “ราษฎร” ที่มีความเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ “เพนกวิน-รุ้ง” ยกเลิกการอดอาหาร โดยกลุ่มแม่และครอบครัวของผู้ต้องขังที่เรียกตัวเองว่า “คณะราษมัม” เสนอวิธีการให้ใครก็ตามที่เห็นด้วยกับการยุติการอดอาหาร ร่วมกันพิมพ์ข้อความในช่องคอมเมนต์ หรือส่งภาพจดหมายเขียนจดหมายด้วยลายมือมาในคอมเมนต์ใต้โพสต์นี้ ทีมงานจะรวบรวมจดหมายให้ได้มากที่สุดภายใน 1 วัน เบื้องต้นตั้งเป้าให้ถึง 112 ฉบับ เพื่อส่งต่อให้ทนายมอบให้ถึงมือ เพนกวินและรุ้ง ในวันที่ 16 เม.ย. 64
แต่ขณะเดียวกัน สมาชิกกลุ่มปฏิกษัตริย์นิยมอย่าง “นิธิวัต วรรณศิริ ”หรือ “สหายจอม” สมาชิกวงไฟเย็น ผู้ต้องหาคดี 112 ซึ่งลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส กลับแสดงความเกรี้ยวกราดใส่ข้อเสนอที่ให้ “เพนกวิน-รุ้ง”เลิกอดข้าว พร้อมตั้งฉายาให้ “สมศักดิ์ เจียมฯ” ว่าเป็น “ศาสดาลัทธิโทษเหยื่อ”
“จอม ไฟเย็น” ยังเหน็บแนม “สมศักดิ์ เจียมฯ” และคนที่เห็นด้วยกับการให้ “เพนกวิน-รุ้ง” กลับมากินข้าวว่า ไม่ได้ห่วงอะไรชีวิตเพนกวิน มากไปกว่าห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองที่ไม่อยากตกเป็นจำเลยสังคม แถมยังประชดประประชันว่า “ถ้าสมศักดิ์ ยังมีแรงจะสื่อสารกดดันทางจิตใจต่อใครให้ล้มเลิกการกระทำของตนอยู่ โปรดใช้แรงนั้นกดดันผู้กดขี่แทนกดดันเหยื่อดีกว่าไหม ถึงจะมาในรูป “ความหวังดี” ก็ตาม แต่มันเหมือนบอกให้ทรยศต่อสัจจะและอุดมการณ์ประกาศของตนเองลงเสียเพื่อรักษาชีวิตยืนยาว”
ขณะที่ “นันทิวัฒน์ สามารถ” อดีตรอง ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ แสดงความเห็นผ่านผ่านเฟซบุ๊กว่า “จิตใจอย่าเหี้ยม” การอดอาหารประท้วงของเพนกวินที่อยู่ในเรือนจำ หนักหรือไม่หนักแค่ไหน ไม่มีใครรู้ แต่น่าตกใจ แทนที่มวลมิตรจะช่วยกันห้ามปรามให้เลิกอดอาหารเหมือนอย่าง “จานเจียม” ที่บอกให้เพนกวินเลิกเหอะ แต่นักเคลื่อนไหวที่อยู่ในไทย กลับอยากเร่งกลองศึก ประกาศเลยว่า ถ้า “เพนกวินตาย ลุงตู่อยู่ไม่ได้” จะผลักเพนกวินให้ตายหรือ เพนกวินห้ามเลิกอดอาหารอย่างนั้นใช่ไหม ถึงจะเข้าทาง สงสัยเตรียมแห่ศพประท้วงแล้ว เอาให้ “ลุงตู่” อยู่ไม่ได้ กระแสตก จุดไม่ติด ต้องแห่ศพเลยหรือ อย่าเหี้ยมโหดขนาดนั้น ศาลไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาคดี 112 รวมทั้ง เพนกวิน เพราะมีพฤติกรรมท้าทาย ทำผิดซ้ำซาก สัญญากับศาลไม่เคยทำตาม จะให้ “ลุงตู่” สั่งศาลให้ปล่อยผู้ต้องหาหรือ นั่นมันวิถีที่รัฐบาลเผด็จการพลเรือนเคยทำมั้ง ไม่ใช่ “ลุงตู่” ที่ไม่ก้าวก่ายศาล
ก็เป็นอันว่า ขณะนี้มีสองกระแสที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการอดข้าวในคุกของ “เพนกวิน-รุ้ง” กระแสหนึ่ง นำโดย “สมศักดิ์ เจียมฯ” แนะให้เลิกอดข้าว เพราะห่วงอันตรายถึงชีวิต ซึ่งกระแสนี้หลายคนเห็นด้วย รวมทั้งพ่อแม่ครอบครัวของทั้งสองคน ด้วยเหตุผล ต้องการให้มีชีวิตอยู่เพื่อต่อสู้ร่วมกันต่อไป อีกกระแส ต้องการให้ยืนหยัดอดข้าวต่อสู้ต่อไป ตามที่ประกาศยอมเสียสละชีวิต เพื่ออุดมการณ์ คนกลุ่มนี้ถูกโจมตี เพราะเห็นว่า เป็นพวกที่มีจิตใจโหดร้ายอำมหิต หวังใช้ชีวิตของเยาวชนคนรุ่นใหม่เป็น “เหยื่อ” ในการต่อสู้ และโหนกระแสแห่โลงศพประท้วง เพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเองมากกว่าสิ่งใด