xs
xsm
sm
md
lg

“เพจดัง” ห่วง “กวิ้น-รุ้ง” เบาหวานขึ้น “เจี๊ยบ” อดข้าวโชว์ “กูรู” ชี้ เกม 3 นิ้วเสี่ยงละเมิดศาล “เต้น” ทิ้ง “ตู่” นำ 3 นิ้วสู้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล กับ เพนกวิน พริษฐ์ ชีวารักษ์ จากแฟ้ม
เอาล่ะสิ! “เพจดัง” โพสต์รายการอาหาร “กวิ้น-รุ้ง” ห่วง “เบาหวาน” แทน “เจี๊ยบ หลังม็อบ” โชว์อดข้าวแสดงน้ำใจ “กูรู” ชี้ เกมทนาย-อีแอบ เสี่ยงติดคุกยาว แนะพ่อแม่หาทนายใหม่ “เต้น” ทิ้ง “ตู่” ประกาศยืนข้างแนวรบ 3 นิ้ว

ภาพ จากเพจเฟซบุ๊ก The METTAD
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(10 เม.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ข้อความระบุว่า

“ผมดื่มแต่น้ำและน้ำเกลือแร่ (พร้อมให้อาหารทางสายยาง) เท่านั้น

อดแบบนี้ สิบปีก็ไม่ตาย”

ภาพ จากเพจเฟซบุ๊ก The METTAD
นอกจากนี้ ยังแชร์ภาพรายการอาหารและข้อความจาก “สติค่ะลูกกกก” ที่ระบุว่า

“ด้วยความเป็นห่วงน้องๆ 2 คน ที่ “อดข้าว” อยู่ในเรือนจำทั้งสองคนนะคะ

คือเป็นห่วงว่าจะเป็นเบาหวานแทนนะ เพราะมีแต่น้ำตาลและแป้ง ทั้งนั้นเลย
#ใบเสร็จสั่งของกิน9เมษา
#สติค่ะลูกกกก”

ภาพ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ขณะร่วมสังเกตการณ์ม็อบกับส.ส.พรรคก้าวไกล จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล หรือ ยกให้ฉายา “เจี๊ยบ หลังม็อบ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

“7 วันช่วงสงกรานต์จะลองอดอาหารเป็นเพื่อนเพนกวินดู โดยดื่มแค่น้ำ นม กับผงโปรตีน อิ่มมาทั้งชีวิตแล้วลองอดให้รู้รสชาติดูบ้าง”

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Chao Meekhuad ของ นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์หัวข้อ “พ่อแม่ม็อบ 3 นิ้ว ถ้าอยากเห็นลูกออกจากเรือนจำ เปลี่ยนทนายเถอะครับ”

โดยเนื้อหาระบุว่า เมื่อวานนี้ 9 เม.ย. 64 ศาลอาญาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว “หมอลำแบงค์” ตีประกัน 2 แสน ห้ามไปร่วมทำกิจกรรมให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันฯอีก-ห้ามออกนอกประเทศ แต่ไม่ปล่อย “ไผ่ ดาวดิน-สมยศ” เหตุไม่ยอมลงลายมือชื่อในกระบวนการพิจารณา แถมเขียนข้อความเพิ่มในรายงานศาล ด้าน “เพนกวิน-อานนท์-รุ้ง-ไมค์-แอมมี่” ศาลยกคำร้อง ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่ง

คงจะจำกันได้ว่า คดีนี้ หมอลำแบงค์-สมยศ-ไผ่ ดาวดิน ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ต่อมาศาลได้ไต่สวนคำร้องเมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมา โดยจำเลยทั้งสามได้แถลงต่อศาลว่า ถ้าได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจะไม่กระทำการในลักษณะเช่นเดียวกับที่เคยถูกกล่าวหาตามฟ้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ซ้ำอีก หรือไปร่วมกิจกรรมที่อาจทำให้เสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์อีก

เหตุที่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว นายสมยศ และ ไผ่ ดาวดิน เพราะปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมภายหลังว่า แม้จำเลยทั้งสองจะให้ถ้อยคำในชั้นไต่สวนขอปล่อยชั่วคราว แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงในภายหลังว่า เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 64 ศาลนัดสอบคำให้การตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดสืบพยานคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 287/2 564 จำเลยทั้งสองไม่ยอมลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนการพิจารณาโดยไม่มีเหตุอันควร มีเพียง นายปฏิพัทธิ์ และทนายความเท่านั้นที่ลงลายมือชื่อ ปรากฏตามรายงานเจ้าหน้าที่

อีกทั้งทนายความของนายสมยศ และ นายจตุภัทร์ นำรายงานกระบวนพิจารณาไปเขียนข้อความเพิ่มเติม โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ระบุว่า ทนายความจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 22 ไม่ขอลงชื่อในรายงานกระบวนการพิจารณา เนื่องจากไม่ยอมรับกระบวนการพิจารณา กับมีพฤติการณ์จะไม่ยอมไปกำหนดวันนัดสืบพยานที่ศูนย์นัดความ และยื่นคำร้องขอถอนทนายความ ทำให้การกำหนดวันนัดสืบพยานเป็นไปด้วยความลำบาก เป็นอุปสรรค และก่อให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินคดีในศาล ข้อความและคำแถลงของนายสมยศ และ นายจตุภัทร์ ว่า จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่แถลงไว้ต่อศาล จึงไม่น่าเชื่อถือว่าสามารถทำได้ ในชั้นนี้ศาลจึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว

ภาพ นายเชาว์ มีขวด จากแฟ้ม
การที่ นายสมยศ และ นายจตุภัทร์ ไม่ยอมลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนการพิจารณาโดยไม่มีเหตุอันควร อีกทั้ง ทนายความของนายสมยศ และนายจตุภัทร์ นำรายงานกระบวนพิจารณาไปเขียนข้อความเพิ่มเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ระบุว่า ทนายความจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 22 ไม่ขอลงชื่อในรายงานกระบวนการพิจารณา เนื่องจากไม่ยอมรับกระบวนการพิจารณา กับมีพฤติการณ์จะไม่ยอมไปกำหนดวันนัดสืบพยานที่ศูนย์นัดความ และยื่นคำร้องขอถอนทนายความ

ผมเห็นว่า พฤติกรรมดังกล่าว ไม่เป็นผลดีต่อรูปคดีใดๆ เลย และเชื่อว่า ถ้าไม่มีทนายความคิดให้จำเลยก็คงไม่ทำเช่นนี้ ซึ่งถ้าหากไม่เห็นด้วยกับรายงานกระบวนพิจารณาก็ยังมีช่องทางตามกฎหมายที่จะสามารถโต้แย้งคัดค้านหรือแถลง ข้อเท็จจริงใดๆติดสำนวนไว้ได้ ไม่ใช่มีพฤติกรรมที่สุ่มเสียงละเมิดอำนาจศาลเช่นนี้

แม้ต่อมา น.ส.เยาวลัษณ์ อนุพันธุ์ หัวหน้าศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเพื่อชี้แจงเหตุผลต่อกรณีที่จำเลยไม่ลงลายมือชื่อในกระบวนการพิจารณา อีกทั้งมีการถอนทนายความออกจากคดีทั้งหมด ว่า สาเหตุเนื่องจากบรรยากาศกระบวนการในห้องพิจารณาคดีมีความผิดปกติ เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จำนวนมากเข้ามาในห้องพิจารณาคดีและคอยประกบตัวจำเลย ห้ามไม่ให้จำเลยมีการพูดคุยกับทนายความและญาติ อีกทั้งเมื่อทนายความจดข้อความลงในกระดาษเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็มาดึงกระดาษไปดู โดยไม่ขออนุญาตก่อน ทนายความจึงหารือกันว่าพฤติการณ์ดังกล่าว เข้าข่ายการละเมิด และทำให้บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีไม่เป็นมิตร ก็ยิ่งขัดก็ความเป็นจริงอย่าสิ้นเชิง

ผมไม่เชื่อว่า จะมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คนไหนจะกล้ามาดึงกระดาษจากทนายความไปดู ยิ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้จริงก็สามารถที่จะแถลงต่อศาลถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ได้ทันที แต่เชื่อว่าการที่จะต้องมีเจ้าหน้าที่เข้าไปจำนวนมาก ก็เพราะต้องใช้มาตรการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น เนื่องจากกลุ่มจำเลยมีพฤติกรรมที่กระด้างกระเดื่องต่อกระบวนการพิจารณาคดีของศาลและสถานการณ์โควิด-19 นั่นเอง ตามที่ศาลอาญาได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงไปเมื่อวานนี้

"ผมจึงได้แต่สงสารพ่อแม่ผู้ปกครองของแกนนำม็อบที่พยายามอ้อนวอนขอความเมตตาจากศาลให้ลูกได้รับการประกันตัวไปอยู่ในอ้อมกอด แต่การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาลกลับสวนทางกับความเป็นจริง ทำแต่เรื่องไม่เข้าท่า ยิ่งสู้ ยิ่งแย่ ดังพฤติกรรมที่ศาลได้ให้เหตุผลไว้ในการอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวหมอลำแบงค์ และไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวนายสมยศและนายไผ่ ดาวดิน จึงอยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ทบทวนแนวทางการต่อสู้คดีใหม่ ถ้าไม่อยากเห็นลูกอนาคตดับวูบอยู่ในคุก ให้เริ่มต้นจากยืนยันไม่ไปร่วมม็อบ 3 นิ้ว ไม่แตะต้องสถาบัน ไม่ทำผิดซ้ำซาก แบบนี้ถึงจะมีโอกาส อย่ายอมเป็นเครื่องมือให้คนที่หวังได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เพราะพวกที่แอบอยู่หลังเด็ก จ้องแต่ใช้ประโยชน์ไม่เคยเสี่ยงติดคุกเอง ลองใช้โอกาสที่ทนายความกลุ่มนี้ได้ขอถอนตัวออกจากการเป็นทนายความให้กับจำเลยทั้งหมด เปลี่ยนทนายความคนใหม่ให้เข้ามาทำหน้าที่ดู ผมคิดว่าช่องทางที่จะออกจากคุกหรือเรือนจำน่าจะสว่างขึ้น ไม่เชื่อลองถามทนายหมอลำแบงค์ดูสิครับ”

อย่างไรก็ตาม ยังมีปรากฏการณ์เกี่ยวกับม็อบ 3 นิ้ว ของอดีตแกนนำคนเสื้อแดง อย่าง “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ และ “เต้น” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

โดยปรากฏการณ์ดังกล่าว นอกจากสองแกนนำคนเสื้อแดง จะแยกกันจัดงานรำลึกสดุดีวีรชน 11 ปี 10 เม.ย. 53 ซึ่งร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้มาด้วยกันแล้ว แม้แต่แนวทางการกลับมาต่อสู้เคลื่อนไหวอีกครั้ง ยังไปคนละทางอีกด้วย กล่าวคือ “ตู่-จตุพร” ได้จัดชุมนุมทางการเมืองไปแล้ว เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวก โดยไม่แตะต้องสถาบันพรมหากษัตริย์ แต่ “เต้น” ณัฐวุฒิ ที่เพิ่งเปิดตัว ยืนยันที่จะต่อสู้เคียงข้างกับหนุ่ม-สาว ชาว 3 นิ้ว อย่างชัดเจน

ภาพ อดีตเพื่อนร่วมรบ “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ และ “เต้น” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อปี 53 จากแฟ้ม
ส่วนการจัดงานครั้งนี้ “เต้น” เลือกจัดที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา โดยมี นพ.เหวง โตจิราการ, อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ,นายวรชัย เหมะ, พายัพ ปั้นเกตุ อดีตแกนนำ นปช., ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์, รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ และญาติวีรชน เข้าร่วม

ขณะที่ “ตู่-จตุพร” ใช้สถานที่สถานีโทรทัศน์ พีซทีวี ย่านรามอินทรา โดยมี นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก นายสุริยา ชินพันธ์ พร้อมด้วยญาติวีรชน เม.ย.- พฤษภา 2553 อาทิ นางพะเยาว์ อัคฮาด นายณัทพัช อัคฮาด ซึ่งเป็นมารดาและน้องชายของ นส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสา ที่เสียชีวิตจากกระสุนปืน ภายในวัดปทุมวนาราม ในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2553 รวมถึงมวลชนจำนวนหนึ่ง เข้าร่วม

ทั้งนี้ นายจตุพร กล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ว่า การรวมตัวของกลุ่มไทยไม่ทนครั้งนี้ หาก นายณัฐวุฒิ มาร่วมตั้งแต่ต้น พรรคพวกที่เคยร่วมสู้กับตนเมื่อปี 2535 หรือพวกคนที่เคยสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จะกระอักกระอ่วนใจ ไม่กล้าเข้ามาร่วม ต้องให้เวลาเขาทำใจสักหน่อย การชุมนุมที่ผ่านมา เป็นเพียงการวอร์มอัป เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น

แต่ “เต้น” ณัฐวุฒิ กลับปราศรัยกับคนเสื้อแดงอีกอย่าง โดยก่อนปราศรัยได้หยิบมาสก์รูปภาพนายอานนท์ นำภา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่ถูกคุมขังที่เรือนจำจากข้อหาความผิดมาตรา 112 และมาตรา 116 ขึ้นมาใส่ ก่อนจะกล่าวว่า

นอกจากป้องกันเชื้อระบาดแล้ว ยังน่าจะป้องกันเชื้ออุบาทว์ได้ด้วย ที่สวมหน้ากากนี้ไม่ได้กลัวโควิด แต่กลัวผู้คนในบ้านเมืองนี้จะลืมพวกเขา กลัวพวกเขาจะได้รับอันตราย อยากบอกว่าปล่อยพวกเด็กออกจากห้องขังแล้ว พวกเรามาแก้ปัญหากันแบบผู้ใหญ่ ไม่มีประเทศหรือสังคมใดเติบโตได้โดยการจับกุมลูกหลานที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงไปไว้ในที่คุมขัง

จากนั้น นายณัฐวุฒิ ได้ถอดมาสก์ออก แล้วกล่าวต่อไปว่า พวกคุณจำผมได้ไหม ที่พวกคุณไล่ยิงไล่ฆ่าผมกลางถนนเมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา ผมกลับมายืนตรงนี้อีกที เพื่อบอกว่าการฆ่าไม่ใช่คำตอบ ความรุนแรงไม่ใช่การแก้ปัญหา บ้านเมืองนี้ มันถึงเวลาที่คนทุกกลุ่ม ทุกรุ่น ทุกฝ่ายต้องเปิดใจเข้าหากัน มันถึงเวลาที่เราต้องยอมรับความจริงว่าไม่มีอำนาจหรือสังคมใดปฏิเสธหรือหลบหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลงได้...

“ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่เราจะต้องเผชิญหน้ากันด้วยโทษา ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่ท่านจะจัดการกับประชาชนเยาวชนด้วยความชิงชัง เพราะความจริงแล้วการต่อสู้นี้เขาทำในนามของคนเป็นลูกเป็นหลานของเรา และเป็นคนรุ่นเดียวกันกับลูกหลานของท่านผู้มีอำนาจ ถ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักลูกสาวฝาแฝด 2 คน ขนาดไหน พ่อแม่ของเพนกวิน รุ้ง ไผ่ และเด็กทุกคนในเรือนจำก็รักลูกสุดหัวใจเหมือนกัน”

รวมทั้งกล่าวว่า ขอบอกน้องๆ เยาวชนหนุ่มสาว ที่กำลังต่อสู้อยู่ทุกคน ในนามคนเสื้อแดง ผมสำนึกบุญคุณของคนหนุ่มสาว สำนึกบุญคุณที่ทุกคน ได้เอาหัวใจสร้างอนุสาวรีย์ให้เพื่อนเรา ในหัวใจของผู้คน ถ้าหากดวงวิญญาณของผู้สูญเสียยังมีเรี่ยวแรง ที่พอสู้ไหว ขอพลังครั้งสุดท้าย ปกป้องคนหนุ่มสาวรุ่นนี้ให้เขาปลอดภัย จากผู้มีอำนาจทั้งหลาย ปกป้องลูกหลานพวกเราอย่าให้เขาทำเหมือนกับที่ทำกับพวกเรา เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดนจิตโดนใจผู้พิพากษาผู้มีอำนาจทั้งหลายให้ปล่อยเยาวชนออกจากเรือนจำให้ไวที่สุด...

นอกจากนี้ นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวด้วยว่า มีคนถามผมมาก ว่าอีกเมื่อไหร่หรือเป็นไปได้ไหม ที่กลับไปยืนอยู่บนเวทีปราศรัยทางการเมืองอีกครั้ง ผมบอกว่า ผมไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น เพราะเห็นว่ายุคสมัยปัจจุบันเป็นการต่อสู้ของคนหนุ่มสาวและเยาวชน

อย่างไรก็ตาม จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ถ้าหากถึงวินาทีที่หัวใจต้องตัดสินว่า จำเป็นแล้วที่จะต้องทำหน้าที่ปกป้องคนหนุ่มคนสาวอีกครั้ง ตนจะแจ้งให้ทราบอีกที

แน่นอน, สิ่งที่น่าจับตามอง ก็คือ เกมของทนายความ และคนที่อยู่เบื้องหลังม็อบ ดูเหมือนจะไม่ยอมให้เรื่องจบลงที่แกนนำม็อบ 3 นิ้วได้ประกนตัวเป็นอันขาด เพราะนี่คือ เงื่อนไขอันแหลมคมในการต่อสู้กับผู้มีอำนาจ ยิ่งแกนนำที่ถูกคุมขังทุกข์ทรมานจากการอดข้าว หรือ พ่อแม่ผู้ปกครองเดือดร้อนทุกข์ทนมากเท่าใด ยิ่งทำให้ความน่าสงสาร น่าเห็นใจ กลายเป็นประเด็นที่ตีกลับศาลได้มากเท่านั้น แล้วที่สำคัญ อย่าลืมว่า พวกเขาได้โยงเอาไว้แล้ว ทั้งในกระแสสังคมออนไลน์ และ ส.ส.บางคนถึงกับโดดงับเอาไปตั้งเรื่องเชิญประธานศาลฎีกา ไปชี้แจงใน กมธ.การกฎหมายฯ ว่า มี “คนนอก” สั่งมา นี่คือ ประเด็นที่เป็นเป้าใหญ่ในการโจมตี

เหนืออื่นใด การมาของ “ณัฐวุฒิ” และพวก ซึ่งเป็นแกนนำม็อบมืออาชีพ และพลังของ “คนหนุ่ม-สาว” ซึ่งเป็นพลังบริสุทธิ์ในสายตาคนทั่วโลก ถ้าผนวกเข้าด้วยกันอย่างมีแบบแผน ไม่นับมวลชนคนเสื้อแดงที่อกหักจากการต่อสู้เมื่อปี 53 ซึ่งแม้ว่าจะมีการยุบเลิกหมู่บ้านเสื้อแดงแล้ว แต่กลุ่มก้อนโดยธรรมชาติของพวกเขาก็ยังคงอยู่ และพร้อมทุกเมื่อเช่นกัน เป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย

จับตาดูให้ดี สถานการณ์การเมือง ท่ามกลางรัฐบาลก็มีปัญหามากมายเช่นนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ และคนไทยจะต้องรับมืออย่างเท่าทันเกมให้ได้ ไม่อย่างนั้น ตัวใครตัวมันแน่นอน ไม่เชื่อคอยดู!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น