การเมืองระอุเดือดก็คราวนี้!? “ไพศาล” ชี้ 3 ม็อบ 3 เป้าโจมตี “อดีตแกนนำ คปท.” เตือน “ลุงตู่” เตรียมเจอ “แม่น้ำร้อยสาย” ส่วนจะเคลื่อนไหวหรือไม่ กำลังเฝ้าดูอยู่ “จตุพร” คุย คนร่วม “มืดฟ้ามัวดิน” ถ้าไม่เปรี้ยงพิจารณาตัวเอง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (3 เม.ย. 64) เฟซบุ๊ก Paisal Puchmongkol ของ นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“ต่อไปนี้จะมี 3 ม็อบ!!!! จำแนกให้ชัด
1. ม็อบล้มเจ้า เปลี่ยนการปกครอง ม็อบนี้ไม่แตะรัฐบาล ด่าเจ้าเพื่อล้มเจ้าอย่างเดียว
2. ม็อบไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ม็อบนี้ไม่แตะต้องเจ้า มุ่งไล่ พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องเดียว
3. ม็อบของผู้เดือดร้อนทางเศรษฐกิจ”
ขณะเดียวกัน นายพิชิต ไชยมงคล อดีตแกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) แนวร่วมกลุ่ม กปปส. โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“ระวังสามัคคีโดยประเด็น
สิ่งที่รัฐบาลยุค 3 ป ต้องระวังมากที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่การชุมนุมของเด็กๆ 3 นิ้วแล้วครับ แต่มันจะมาจากแม่น้ำแต่ละสายที่เกิดจากความบกพร่องของรัฐบาลเอง
ปรากฏการณ์วันที่ 4/4/64 เป็นการแสดงออกส่วนหนึ่งที่ต้องจับตามอง ส่วนตัวผมคงไม่ได้เข้าร่วม ให้เป็นเรื่องของสายน้ำของใครของมัน ที่จะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของแม่น้ำเอง ซึ่งก็เหมือนการเคลื่อนของขบวนอื่นๆ ทุกขบวนที่ต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่แล้ว
มีประเด็นที่รัฐบาลต้องตอบอยู่ 2 เรื่อง ซึ่งเป็นภารกิจร่วมของประชาชนคือ
1. ภารกิจเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทยตามข้อเสนอ กปปส. 7 ข้อนั้น ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ตามที่รัฐบาลรับปากไว้ว่า “ขอเวลาอีกไม่นาน” แต่ถึงเวลานี้ยังไม่สามารถเดินไปถึงไหน
2. เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเรื่องการสืบทอดอำนาจ โดยไม่แตะต้องสถาบันกษัตริย์ ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ
กิจกรรมวันที่ 4/4/64 ก็เป็นปรากฏการณ์การเมืองอีกเวทีหนึ่งที่เฝ้าติดตามและเฝ้าสถานการณ์ไปก่อน
หากจะออกมาอีกครั้ง คงเป็นสายธารที่พวกเราสร้างขึ้นเอง ใน 2 ประเด็นข้างต้น ก็จะได้หารือกันอีกครั้งในหมู่นักกิจกรรมสายพวกเรา
ทั้งนี้ ก็จะได้มีการประสานงานคุยกันต่อไป แต่ยอมรับว่า มีการคุยนอกรอบกันบ้างแล้ว
ภารกิจปฏิรูปประเทศ คือ สิ่งที่รัฐบาลต้องคำนึงมากที่สุดครับ
ไม่งั้นจะเจอแม่น้ำร้อยสาย สามัคคีโดยประเด็น แน่แท้.”
ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk ก่อนถึงวันสุกดิบว่า
การชุมนุมของประชาชนในรหัส 4/4/4 วันที่ 4 เมษา เวลา 4 โมงเย็น แรงกระเพื่อมเกิดเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองได้เริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นายจตุพร เชื่อว่า การชุมนุม 4 เมษา 4 โมงเย็นนี้ จะมีประชาชนมาร่วมอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะไม่อาจทนอยู่ภายใต้การปกครองของประยุทธ์และพรรคพวกได้อีกต่อไป
“วันพรุ่งนี้ (4 เมษา 4 โมงเย็น) จะเป็นการชุมนุมยืดเยื้อต่อวันที่ 5 หรือวันต่อๆ ไป ต้องหารือกับประชาชนเป็นมติร่วมกันแบบวันต่อวัน เนื่องจากการชุมนุมในรหัส 4/4/4 เพื่อขับไล่ประยุทธ์ นั้น เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับประยุทธ์ ซึ่งไม่มีประโยชน์ส่วนตนอยู่เบื้องหลัง แต่เป็นสามัคคีประชาชนที่ต้องการให้เกิดการเริ่มต้นประเทศกันใหม่อีกครั้ง”
นายจตุพร กล่าวว่า ก่อนถึงวันสุกดิบการชุมนุมรหัส 4/4/4 ที่จัดในพื้นที่อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม สวนสันติพร ซึ่งอยู่เยื้องโรงแรมรัตนโกสินทร์ โดยนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานญาติวีรชนพฤษภา 35 ชวนนักประชาธิปไตยมาร่วมสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ขับไล่ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี สืบทอดอำนาจเผด็จการ คสช. ตั้งแต่ยึดอำนาจเมื่อปี 2557 ในแนวคิดสามัคคีประชาชนนั้น เป็นการสะท้อนว่า การชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือคู่ขัดแย้งกันตลอด 15 ปีที่ผ่านมา แต่ นายอดุลย์ ต้องการสื่อให้ประชาชนทุกฝ่ายยึดมั่นแนวทางหรือรูปแบบพฤษภา 35 ที่ต่อสู้กับรัฐบาลตระบัดสัตย์ ใช้ รธน.เป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจ
ส่วนตนนั้น ไปร่วมในฐานะปัจเจกชน โดยได้รับคำชวนจากนายอดุลย์ เพราะเคยร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์พฤษภา 35 กันมาจนลูกนายอดุลย์เสียชีวิตในการต่อสู้ สำหรับตนต้องรับไม้ต่อจากขบวนการชุมนุมที่ถนนราชดำเนินไปปักหลักต่อสู้ในพื้นที่ ม.รามคำแหง จนกระทั่งรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร ต้องพ้นจากตำแหน่งไป
“ถ้าตั้งข้อกล่าวหาว่า ผมรับงานใครมา ผมตอบง่ายๆ ว่า ผมรับคำชวนของคุณอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ อีกทั้งพรุ่งนี้ (4 เมษา เวลา 4 โมงเย็น) ไม่ได้เป็นเรื่องขององค์กรภาคประชาชน หรือองค์กรอื่นที่ขัดแย้งกันมาตลอด 15 ปี แต่ประยุทธ์กลับได้รับประโยชน์สูงสุดฝ่ายเดียวจากความขัดแย้งของภาคประชาชน ซึ่งมีแต่ความเจ็บปวด”
นายจตุพร ส่งคำพูดถึงประยุทธ์ว่า การเตรียมกำลังตำรวจนั้น เกินความเป็นจริงไป เพราะการจัดการวันพรุ่งนี้ได้ขออนุญาตถูกต้อง จัดในสถานที่เฉพาะชัดเจน และไม่มีการเคลื่อนกำลังไปจุดใด ดังนั้น รัฐบาลควรอำนวยความสะดวกดูแลความปลอดภัยร่วมกัน แต่การระดมกำลังตำรวจทั่วประเทศนั้น เป็นการวิตกจริตเกินเหตุ เป็นความขี้ขลาดมากความกลัวจนเกินความจำเป็น
นอกจากนี้ ตนมาร่วมชุมนุมด้วยการใช้เหตุผลสูงสุดระหว่างภาคประชาชนกับประยุทธ์ เป็นหลักก่อน โดยต้องการสื่อสารถึง เรื่อง รธน. การทุจริต การสืบทอดอำนาจ ปัญหาสังคม การบริหารเศรษฐกิจที่เหลวแหลกภายใต้การนำของประยุทธ์ โดยทั้งหมดนี้ เราจะสื่อสารด้วยภาษาแบบวิญญูชนมาชำแหละความล้มเหลวของประยุทธ์
ส่วน ประวิตร วงษ์สุวรรณ เตือนอย่าทำผิดกฎหมาย และ ประยุทธ์ คำรามให้ดูเหตุการณ์พฤษภา 53 นั้น นายจตุพร กล่าวว่า ไม่มีใครจะมีเจตนาเช่นนั้น เพียงแต่เราไม่อาจทนการบริหารบ้านเมืองของประยุทธ์ได้อีกต่อไป เพราะตระบัดสัตย์ ไม่เคยยึดปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาเลย อีกอย่าง ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนถึงวันชุมนุม 4 เมษานี้ ตนตกเป็นเป้าหมายหลักถูกป้ายสี ใส่ร้าย ถูกบิดเบือนข้อเท็จจริงกระทำมาต่อเนื่อง แต่ตนกล้าพูดอย่างชัดเจนว่า การใส่ร้ายทำลายตนย้ายขั้วสลับร่างไปอยู่พรรค พปชร. ไปสังกัดฝ่ายเผด็จการ และรับงานมาทำลายคนเสื้อแดงนั้น เป็นข้อกล่าวหาที่เจ็บปวด ซ้ำร้ายยังถูกตอกย้ำด้วยการทำโพลให้บรรลุเป้าหมายอีก...
“ในสนามรบนั้น ผมจะต่อสู้โดยไม่มีอะไรต้องหวั่นวิตกกระทั่งชีวิต แม้ตัวตนจะถูกทุกฝ่ายทำลายทั้งศัตรูข้างหน้า อดีตมิตรข้างหลัง และคนรอบข้าง แต่ผมมีความอดทน เพราะรู้ว่า ผมอยู่ในถนนสายนี้ไม่เปลี่ยนแปลง มีจุดยืนมาตลอดชีวิต มีความเป็นตัวตนของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร จึงขอบอกกับพี่น้องว่า วันพรุ่งนี้จะเป็นการเริ่มต้นประเทศไทยกันใหม่ และบอกกันอีกครั้งว่า ถ้าประชาชนไม่เอาด้วย ผมก็จะพิจารณาตัวเอง เพราะหลายคนดูถูก ปรามาส เหยียดหยาม ถากถาง ย่อมเป็นพลังเสมอ”
นายจตุพร ย้ำว่า ถ้าไม่มีประชาชนเข้าร่วม ตนก็ต้องพิจารณาตามความเป็นจริง ว่า ประชาชนยังเอาด้วยกับประยุทธ์ และถ้าวันที่ 4 เมษา เวลา 4 โมงเย็น ประชาชนมาอย่างมืดฟ้ามั่วดินแล้ว ตนเชื่อว่าสถานการณ์เปลี่ยน โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้นอย่างมีความชัดเจนขึ้น รวมทั้งในวันพรุ่งนี้ ขอประชาชนสบายใจได้ เพราะเราปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง มีการตรวจโควิดทุกขั้นตอน และขอตำรวจมาร่วมตรวจอาวุธและสิ่งผิดกฎหมายด้วย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจต่อกันว่า เป็นการรวมตัวของประชาชนอย่างไม่มีเงื่อนไข ต้องการแค่ให้ประยุทธ์ ออกไป เพื่อให้ประเทศไทยได้เดินหน้า
“เมื่อเดินมาถึงจุดนี้ ถ้าประชาชนมีมติให้ชุมนุมกันต่อในวันรุ่งขึ้น พวกเราก็กำลังหารือกันอยู่ว่า เราอาจจะต่ออีก ในวันที่ 6 เมษา จะมีการนัดหมายของพี่น้องกลุ่มอื่นอยู่แล้ว เราก็จะเว้นหนึ่งวัน แล้วหลังจากนั้น เราจะต่อวันที่ 7 และ 8 หรือวันต่อๆ ไปก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจกันในวันพรุ่งนี้”
นายจตุพร กล่าวว่า วันที่ 4 เมษา คือ การเริ่มชุมนุมวันแรก เพื่อตัดสินใจว่าจะไปได้หรือไม่ โดยเชื่อว่า การทำอะไรที่ไม่ทำเพื่อตัวเองนั้น ตนวาดหวังว่า ประชาชนจะมีความเข้าใจและจะออกมาร่วมในเส้นทางนี้ร่วมกัน
“พรุ่งนี้ (4 เมษา 4 โมงเย็น) ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นประตู จะเป็นบันไดสำหรับทางออกของชาติบ้านเมือง ถ้าไม่เริ่มต้นก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้ การทำลายล้าง หรือฆ่า ผมคิดว่า สถานการณ์นี้จบ คุณคิดผิด และอยากทำลายก็ทำลายไป แต่ผมยืนยันจะขับไล่ จะต่อสู้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยไม่มีเรื่องส่วนตัวใดๆ”...
แน่นอน, ประเด็นสำคัญ อยู่ที่เราอาจเห็นม็อบหลายม็อบเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกพ้น และยากแยกแยะได้ว่า แต่ละม็อบมีเบื้องหลังหรือไม่ และแต่ละม็อบ คงต้องพิสูจน์ตัวเอง อย่างที่ “พิชิต” ชี้ประเด็น
รวมทั้ง น่าคิดก็คือ สิ่งที่ คสช.และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ให้คำมั่นสัญญากับประชาชน ว่าจะคืนประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และจะปฏิรูปประเทศทุกด้าน ทำหรือยัง?
ปัญหาตระบัดสัตย์ ปัญหาการสืบทอดอำนาจ พูดเมื่อไหร่ ก็ใช่เมื่อนั้น อย่าลืมว่า พล.อ.สุจินดา คราประยูร ถูกต่อต้านอย่างรุนแรง และประชาชนลุกฮือ ก็เพราะเหตุนี้
ปัญหาคือ รัฐบาลจะรับมืออย่างไร เพราะอย่าลืมว่า นี่คือ ปัญหาของ คสช. และปัญหาของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างชัดแจ้ง และไม่มีทางเบี่ยงเบนประเด็นได้ ที่สำคัญ คนที่จะเข้าร่วม ก็ไม่มีปัญหาเรื่องกระทบกันสถาบันด้วย
เหนืออื่นใด แม้แต่คนไทยที่นิยม พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล ทำตามคำมั่นสัญญา คือ คืนประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ให้กับประชาชน และปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง รวมทั้งเป็นที่ประจักษ์ชัดด้วย ไม่เช่นนั้น สิ่งที่ “จตุพร” พูด และแกนนำม็อบทุกคนพูด จะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือทันที ต้องการอย่างนั้นหรือ!?