ข่าวปนคน คนปนข่าว
** อย.พลาดอย่างแรง โอ้โหขอนำเข้าเมล็ดกัญชงแสนกิโลฯ!! โชคดีมีคนตาดีเห็นเบรกทัน เงื่อนงำอนุมัติใน 2 วัน หวังฟันกำไร 4-5 แสนล้าน! งานนี้ข้าราชการไทยอีกแล้วครับท่าน!!
กัญชง-กัญชาฟีเวอร์ไปทั่วขณะนี้ ก็ต้องบอกว่านโยบายพรรคภูมิใจไทยของ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ได้สร้างพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ขึ้นมาปลุกเศรษฐกิจให้คึกคัก
ทว่า อีกด้านมืดก็มีเรื่องน่าเป็นห่วง มีเบื้องหลังที่ฟังแล้วน่าตกใจ โดยเฉพาะการฉกฉวยกระแสเพื่อหวัง “ผลประโยชน์” ทำกำไรจากกระบวนการเพาะปลูก โดยเฉพาะ “กัญชง” ที่กฎหมายอนุญาตให้ทำเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมมากกว่ากัญชา
ว่ากันว่า เบื้องหลังที่ “องค์การอาหารและยา” (อย.) ระงับคำขออนุญาตนำเข้าเมล็ดกัญชงของบริษัทเอกชนที่มีใบอนุญาตจากที่ยื่นขอ 7 ราย พบว่า 4 ราย มี “เงื่อนงำที่น่าสงสัย” โดยมีคนตาดีสังเกตเห็นว่า จากเอกสารของกรมวิชาการเกษตรที่เกิดคำถามว่า ตั้งแต่มีการยื่นคำขอมาวันที่ 23 ก.พ. 64 อย.ที่เป็นผู้อนุมัติได้อนุมัติในวันที่ 25 ก.พ.อย่างรวดเร็ว โดยจัดให้ภายใน 2 วันนั้น เรียกว่า “เร็วปานสายฟ้าแลบ”
เพราะสาระสำคัญ กฎกระทรวง การขออนุญาต และการอนุญาต ระบุว่า “การขออนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย มีไว้ในครอบครอง ให้บริษัทยื่นคำขอพร้อมด้วยข้อมูล เอกสาร หลักฐาน รายละเอียดแผนการผลิต การนำเข้า การส่งออก การจำหน่าย หรือการใช้ประโยชน์แล้วแต่กรณี และมาตรการรักษาความปลอดภัย เพื่อป้องกันมิให้นำไปใช้ในทางที่ผิด”
ต่อมา คำขออนุญาตนำเข้า ส่งออก มีข้อมูล เอกสาร หลักฐาน ถูกต้องครบถ้วน ให้ผู้อนุญาตพิจารณาคำขอและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน
ปรากฏว่า จากการตรวจสอบพบ 4 รายที่มีปัญหา ไม่มีผู้นำเข้ารายใดให้รายละเอียดเลย!!
การยื่นแค่ 2 วันแล้วอนุมัติของ อย.จึงถูกตั้งข้อสงสัยว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอนหรือไม่?
อย.คิดอะไรอยู่? หรือเห็นแก่ผลประโยชน์? มีการล็อบบี้กัน ไม่กลัวเกรงว่าจะ “เข้าข่าย 157” ไม่มีใครทราบได้ แต่น่าสงสัยไปหมด?
ตามเอกสารที่กรมวิชาการฯ ตั้งข้อสังเกตบอกเลยว่า การนำเข้าเมล็ดพันธุ์จำนวนมาก ทั้งจำนวนพันธุ์ และปริมาณ ถือว่า มโหฬารมากๆ พบว่า 4 บริษัท มีปริมาณขอนำเข้ารวมกันถึง 115,500 กิโลกรัม
ถามว่า ผลประโยชน์ตรงนี้มากมายแค่ไหน ปริมาณเมล็ดกัญชง 1 กก. คิดเป็นเมล็ดก็ราวๆ 35,000 เมล็ด ลองคูณกันได้ 115,500 กิโลฯ ก็จะเห็นว่าจะมีการนำเข้าเมล็ดกัญชงมาขายมากมายถึง 4,042 ล้านเมล็ด ...ที่ต้องคูณให้ดูเพราะเขาขายกันเป็นเมล็ด
แน่นอนว่าราคาต้นทุนยังไม่แน่ชัด เพราะเป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรา แต่เท่าที่เร่ๆ ขายในตลาดหลอกเกษตรกร หลอกฟาร์มที่จะปลูก ในราคา “เมล็ดละ 150 บาท”
นี่แค่ต้นกัญชงที่ให้เฉพาะเส้นใย แต่ถ้าเป็นพันธุ์ที่ให้ “CBD สูง” หรือสารสกัดที่เอาไปใช้ในส่วนของอุตสาหกรรมปลายน้ำนั่นก็ว่ากันตั้งแต่ “เมล็ดละ 200-800 บาท”
งานนี้เอาแค่กำไรขั้นต่ำ “เมล็ดละ 100 บาท” ก็จะฟาดกำไรกันบาน เป็นผลประโยชน์ที่เงินสะพัดกัน 4-5 แสนล้านบาท!!
คำถามต่อมาก็คือว่า นำเข้ามามากมายเช่นนี้จะไปปลูกกันตรงไหนอย่างไร เพราะจริงๆ แล้ว พื้นที่ 1ไร่ ใช้เมล็ดแค่ 2,500 เมล็ด ดังนั้นที่จะเอาเข้ามามากถึง 4,042 ล้านเมล็ดนั้น ต้องมีพื้นที่ปลูกถึง1,617,000 ไร่... เป็นไปได้หรือ? นอกจากเอามาปั่นราคา เก็งกำไร หลอกขายใบจอง ใบสั่งซื้อเมล็ดกัน ไปจนถึงบริษัทในตลาดหุ้น ปั่นหุ้นกันโดยที่การปลูกยังไม่มี ยังนำเข้าเมล็ดมาไม่ได้
นี่แค่กำไรจากการขายเมล็ด ถ้าไม่มีคำสั่งให้อย.ระงับนำเข้าก็ไม่รู้ว่า จะเป็นอย่างไร งานนี้ใครบ้างที่จะโกยกำไรเข้ากระเป๋า
เรื่องนี้ก็ต้องคำถามไปที่ อย.ถ้ากรมวิชาการเกษตรไม่ออกมาท้วงก็คงจะเป็นไปอีกแบบหรือไม่?
ขณะที่ อย.แก้เกี้ยวว่า กำลังรอให้เอกชนเสนอแผนการนำเข้า แต่คำถามก็ย้อนมาถามใหม่ว่า การพิจารณาของ กก.ยาเสพติด ตั้งแต่แรกชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?
การนำเสนอของ อย.เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ครบถ้วนตามกฎหมายหรือไม่?
หากเอกชนไม่สามารถนำเสนอแผนรายละเอียดได้ จะมีการพิจารณาทบทวนการออกใบอนุญาตหรือไม่?
ขณะนี้น่าจะแน่ชัดแล้วว่า คำขอของเอกชน 4 รายไม่ครบตามสาระสำคัญของกฎหมายมาตั้งแต่แรก แต่ทำไมอย.กลับอนุมัติ “จัดให้ใน 2 วัน” ก็คิดกันดูว่าเพราะอะไร?
เรื่องนี้ แว่วว่า หมอหนู ฉุนขาด สั่งให้อย.ชี้แจงตั้งแต่วันที่ 17 มีค.ทีผ่านมาหลังจากสั่งไป บอร์ดยาเสพติดประชุมกันใหม่ให้ทบทวน เสนอรายรายละเอียดประกอบคำขอใหม่ ต่อมาวันที่ 23 มี.ค. เลขาอย.จึงแจ้งบริษัทให้ส่งรายละเอียดเรียกสถานะใหม่ว่า เป็นผู้มีคุณสมบัตินำเข้า แม้จะได้รับอนุญาตแล้วก็ตาม ...พูดง่ายๆว่า ไม่เกี่ยวกับพรรคภูมิใจไทย
งานนี้...เป็นเรื่องงามไส้ที่เกิดกับข้าราชการไทยอีกแล้วครับท่าน และก็ต้องบอกว่า อย.ทำพลาดอย่างแรง!?
** “โรม” รั้น ดันให้สุด เดินหน้าหาช่องเรียกศาลแจงเฟกนิวส์ “สมศักดิ์ เจียม” หรืองานนี้อาจต้องไปหยุดที่คุก
หลังจากเมื่อวันก่อน “รังสิมันต์ โรม” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร เปิดปฏิบัติการดิสเครดิตศาล ด้วยการประกาศจะเรียก “ประธานศาลฎีกา” มาชี้แจงต่อกรรมาธิการกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร รับลูก “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” ศาสดาของม็อบสามนิ้ว ที่หลบหนีคดี 112 อยู่ฝรั่งเศส และได้ปล่อยข่าวลือทางเฟซบุ๊กไปก่อนหน้านี้ อ้างว่ามี “เสียงสวรรค์” สั่งไม่ให้ศาลอนุญาตประกันตัวแกนนำม็อบราษฎร ก็มีเสียงคัดค้านการกระทำของ “ทั่นโรม” ออกมากันอื้ออึง
ทั้งด้วยเหตุผลที่ว่าข่าวลือที่ “สมศักดิ์ เจียม” ปล่อยออกมานั้น ไม่มีน้ำหนักที่น่าเชื่อถือ ไม่ต่างจากเฟกนิวส์ที่ปล่อยกันเกร่อทั่วไปทางเฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ และ “สุริยัณห์ หงษ์วิไล” โฆษกศาลยุติธรรมก็ได้ชี้แจงไปแล้ว
อีกเหตุผลที่สำคัญ คือ ในแง่ข้อกฎหมาย เกิดคำถามว่า กรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจที่จะเรียก ประธานศาล หรือผู้พิพากษามาชี้แจงหรือไม่ เรื่องนี้ “สุกิจ อัถโถปกรณ์” ที่ปรึกษาประธานสภา “ชวน หลีกภัย” ได้เตือนสติ “ทั่นโรม” ว่าควรจะศึกษากฎหมายให้ดีเสียก่อน อย่านึกว่าเป็น ส.ส.แล้วจะทำอะไรก็ได้
เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ว่าด้วยเรื่องของการทำงานของกรรมาธิการ ที่สามารถจะเสาะหาข้อเท็จจริง และคณะกรรมาธิการ มีอำนาจเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงในเรื่องที่มีการศึกษาอยู่นั้นได้... แต่ในวรรค 4 มาตราดังกล่าว ระบุว่า แต่การเรียกดังกล่าวนั้นไม่ให้ใช้บังคับกับ “ผู้พิพากษา หรือตุลาการ” ที่ปฏิบัติตามหน้าที่โดยใช้อำนาจในกระบวนวิธีพิจารณาพิพากษาคดี หรือบริหารงานบุคคลของแต่ละศาล
ดังนั้น คณะกรรมาธิการฯ ไม่สามารถที่จะเรียกให้ศาลฯ เข้ามาชี้แจงในคณะกรรมาธิการฯ ได้!
กระนั้นก็ดี “ส.ส.โรม” ยังยืนยันที่จะหาทางเชิญประธานศาลฎีกา หรือตัวแทน มาชี้แจงต่อกรรมาธิการฯให้ได้ ซึ่งเดิมจะเสนอเรื่องหารือในที่ประชุมกรรมาธิการกฎหมายฯ ในช่วงเช้าวานนี้ (1 เม.ย.) แต่เผอิญว่าองค์ประชุมไม่ครบ จึงยังไม่มีมติใดๆ ในเรื่องนี้ออกมา
ด้วยความเป็น ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงปรี๊ด “รังสิมันต์ โรม” ยังยืนยันกับนักข่าวว่า การเชิญศาลมาชี้แจง ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 เนื่องจากกรณีนี้เป็นการเรียกประธานศาลฎีกาเข้ามาเพื่อสอบถามถึงความเป็นอิสระของตัวผู้พิพากษา อำนาจตุลาการ และพูดคุยเรื่องภาพรวม ซึ่งในทางกฎหมายน่าจะสามารถเรียกได้
ดังนั้น แม้ว่ากรรมาธิการฯ ยังไม่มีมติใดๆ ออกมา “ทั่นโรม” ก็จะส่งหนังสือไปถามฝ่ายกฎหมายของสภาว่า กรรมาธิการกฎหมายฯ สามารถเรียกประธานศาลฎีกา หรือตัวแทนมาตอบข้อสอบถามได้หรือไม่ คาดว่าน่าจะมีความชัดเจน ในวันที่ 7 เม.ย.นี้
เรียกว่ากำลังพยายามเสาะหาทุกช่องทาง ที่จะลากเอาศาลมานั่งชี้แจงต่อหน้ากรรมาธิการฯในสภาให้ได้
ขณะที่ “เชาว์ มีขวด” อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งอยู่ในอาชีพทนายความมาร่วม 20 ปี ออกมาเตือนดังๆว่า “รังสิมันต์ โรม” กำลัง “แส่ไม่เข้าเรื่อง” เป็นการใช้กรรมาธิการก้าวล่วงอำนาจตุลาการ ซึ่งเป็นอำนาจสามฝ่ายที่ถ่วงดุลกันตามรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติให้ผู้พิพากษา และตุลาการย่อมมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี
นอกจากนั้นยังขัดต่อ พ.ร.บ.คําสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา พ.ศ. 2554 มาตรา 5 ที่ห้ามมิให้ใช้บังคับกับผู้พิพากษา หรือตุลาการที่ปฏิบัติตามอํานาจหน้าที่ในกระบวนวิธีพิจารณาพิพากษาอรรถคดี และข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 หมวด 5 กรรมาธิการ ข้อ 97 ที่ระบุทำนองเดียวกัน เพราะถ้าปล่อยให้ใครก็ได้สามารถตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจของศาลได้ จะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของคำสั่งศาล หรือคำพิพากษา ไม่ถึงที่สุด
อดีตรองโฆษก ปชป.ยังเห็นว่ากำลังมีการใช้กรรมาธิการเป็นเครื่องมือทางการเมือง"อย่างน่ารังเกียจ" ซึ่งจะทำให้การทำงานของสภาในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติเสื่อมเกียรติไปด้วย
พร้อมกับเตือนไปยังใครก็ตามที่ลงมติเชิญ “ประธานศาลฎีกา” ให้มาชี้แจงทั้งที่ไม่มีอำนาจ จะถือเป็นการกระทำที่ผิด พ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ มาตรา 12 ที่บัญญัติว่า กรรมาธิการผู้ใดปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จะติดคุกโดยไม่รู้ตัวนะจะบอกให้!