“บก.ฟ้าเดียวกัน” ลูกน้อง “ทอน” ชี้เป้า “ภูมิ” แนวร่วม 3 นิ้ว ก่อเหตุ หวังป้ายสี ตร.? “หมอวรงค์” เดือด ไล่องค์กรรับเงินต่างชาติ หนุนม็อบ เย้ย “ธนาธร” ปลุก “ราษเก็ต” สันติวิธี แล้วเป็นไง “บก.ลายจุด” โดนอย่างจัง “ปลิง” เกาะเท้าเด็ก
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (21 มี.ค. 64) เฟซบุ๊ก Thanapol Eawsakul ของ นายธนพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการนิตยสารฟ้าเดียวกัน คนสนิทนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“ขณะที่มีเยาวชนที่อายุไม่ถึง 18 ปี จำนวนมาก ถูกคุมขัง เนื่องจากมาชุมนุม
แต่มีเยาวชนคนหนึ่งที่ยังสร้างความแปลกประหลาดใจ คือ คนชื่อ “ภูมิ” ที่อ้างว่า อายุ 17 ปี
คนนี้คือคนที่ไปยั่วยุตำรวจแทบทุกครั้งโดยเฉพาะหลังปีใหม่
คนนี้คือคนที่ตำรวจจับ ที่บอกว่าเป็นคนขับรถให้แอมมี่ไปเผารูป แล้วตำรวจกันให้เป็นพยาน
ล่าสุด เป็นคนที่สั่งการให้ดึงตู้คอนเทนเนอร์ลงมาที่สนามหลวง จนเป็นการเริ่มต้นยิงน้ำ แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ฯลฯ
ที่น่าแปลกกว่านั้นคือ คนชื่อ “ภูมิ” ยังไม่ถูกดำเนินการใดๆ”
โพสต์ของ “บก.ฟ้าเดียวกัน” เนื่องมาจากเหตุการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่าง ม็อบ 3 นิ้ว กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายจำนวนมาก เมื่อคืนวันที่ 20 มี.ค.
ขณะเดียวกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หรือ “หมอวรงค์” รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง “มาตามนัดแล้วครับ”
เนื้อหาระบุว่า “ที่ปรึกษาฮิวแมนไรท์วอทช์ โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ ระบุว่า
“ตำรวจคุมพื้นที่แน่นหนาขนาดนั้น แก๊งอาชีวะปกป้องสถาบันฯ เข้ามาดักทำร้ายผู้ชุมนุมได้ยังไง แถมยังลอยนวลไม่ถูกจับ #ม็อบ20มีนา” (ขณะที่อาชีวะปกป้องสถาบันฯออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ทำตามที่ถูกกล่าวหา)
องค์กรเหล่านี้ก็หลับหูหลับตา ไม่ดูข้อเท็จจริงเลยว่า ม็อบยั่วยุ สร้างความรุนแรงขนาดไหน จนคนเบื่อไปทั้งประเทศ
“ผมคิดว่า องค์กรเอกชนที่รับเงินต่างชาติ แต่มาเคลื่อนไหวการเมือง สอดรับกับม็อบ ไม่สมควรที่จะอยู่ในประเทศไทยต่อไปครับ”
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง นพ.วรงค์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“#ทอนสิ้นมนต์ขลัง
หลังจากที่ ทอน ขอเชิญชวน “ราษเก็ต” ทั่วทุกหมู่เหล่า มารวมตัวกันเย็นนี้ที่สนามราษฎร์ หกโมงเย็นถึงสามทุ่ม ใช้เสรีภาพและศิลปะของเราวาดลวดลายแสดงออกทางการเมืองอย่างสันติ ส่งสารของพวกเราดังๆ ว่า “ปล่อยเพื่อนเรา” #คณะราษเก็ต #ม็อบ 20 มีนา
ขนาดต้องเปิดหน้า ออกแรงปลุกเร้า เชิญมวลชนเอง แต่ภาพมวลชนที่ออกมา มีพฤติกรรมอย่างที่เห็น ใช้เสรีภาพตามที่ทอนบอก ใช้ศิลปะวาดลวดลายตามที่ต้องการ และแสดงออกอย่างสันติ ทั้งหนังสติ๊ก จุดไฟเผา ทำลายข้าวของที่เป็นภาษีประชาชน
ผมดูแล้วนี่ไม่ใช่ม็อบ ที่เรียกร้องในเชิงอุดมการณ์ คนหนุ่มสาว นิสิตนักศึกษาไม่ออกมา แต่กลายเป็น ม็อบเด็กแว้น ป่วนเมือง ท้าทายตำรวจ ทำลายข้าวของ เผาทำลาย จนประชาชนเอือมแล้วเอือมอีก ทางที่ดี ทอนน่าจะกล้าๆ ออกมานำเองได้แล้ว ทุกอย่างจะได้จบ
#ทอนต้องออกมานำเอง #นึกไม่ออกถ้าคุณได้ดูแลประเทศนี้จะเป็นอย่างไร
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน จากกรณี นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ “บก.ลายจุด” เสนอแนะม็อบ 3 นิ้ว ให้ใช้รูปนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และแกนนำกลุ่มราษฎร ติดไว้บนฝาบ้านให้กลายเป็น “รูปที่มีทุกบ้าน” นั้น
เรื่องนี้ นายพิชิต ไชยมงคล อดีตแกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“เลอะเทอะ
เป็นการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้คำว่า “จับฉ่าย” ทั้งเป้าหมายทิศทางและรูปแบบ จากรัฐธรรมนูญ มาปฏิรูปสถาบัน ลามถึงใส่ร้ายสถาบัน (จากปรากฏการณ์)
ตอนนี้มารณรงค์ รูปที่มีทุกบ้าน เพื่อกดดันปล่อยพวกเรา (ในคุก)
คุก ไม่ใช่แดนน่าไปเที่ยว เขาก็เคยปล่อยพวกคุณออกมาแล้ว แต่ก็ผิดซ้ำจึงลงโทษ การรณรงค์ปล่อยพวกคุณ เท่ากับการไม่เคารพกฎหมายนั่นเอง
เป้าหมาย ทิศทาง รูปแบบ สะเปะสะปะ ก็เคลื่อนไหวดังที่เห็น
ไอ้พวกอีแอบ เชียร์เด็ก ให้ท้ายเด็กนี่ทุเรศสุด
ใช้ความคึกคะนองของเด็ก เติมทิศทางสุ่มเสี่ยงให้เด็กเข้าไปยุยงให้เด็กทำ เพื่อสนองการเมืองที่ตนเองคิดไว้ พวกนี้แอบใช้เด็กเป็นเครื่องมือ เป็นพฤติกรรมที่เลวทรามที่สุด
ความรุนแรงในพฤติกรรม พวกให้ท้ายเด็กต้องรับผิดชอบบ้างครับ อย่ามัวใช้ลิ้นเลียเท้าเด็กให้เด็กเดินเพื่อพาตัวเองสู้เป้าหมายเลย
หรืออีกนัยหนึ่งคือ พากันทำตัวเป็นปลิงเกาะเท้าดูดเลือดเด็กไปวันๆ
หยุด พฤติกรรมอีแอบ”
ทั้งนี้ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ โพสต์เสนอแนวทางการต่อสู้ของกลุ่ม “ราษฎร 63” หรือ “ม็อบ 3 นิ้ว” ลงบนทวิตเตอร์ @nuling ระบุว่า
“ผมเสนอให้กิจกรรม #รูปที่มีทุกบ้าน เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแรงกดดันให้มีการปล่อยตัวแกนนำและมวลชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยทั้งหมด เพราะมีเพียงหนทางเดียวที่จะหยุดกิจกรรม #รูปที่มีทุกบ้าน ได้คือการปล่อยตัวพวกเขา”
“หาก #รูปที่มีทุกบ้าน จุดติด จะเกิดคลื่นทางการเมืองในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันจะเป็นปรากฏการณ์ที่นำไปสู่สร้างฐานการต่อสู้รูปแบบใหม่ เพราะนี่คือการต่อสู้บนความศรัทธาซึ่งอยู่บนฝาผนังบ้าน”
“สงครามบนฝาบ้าน ประชาชนต้องประกาศให้ฝาบ้านของตนเองเป็นพื้นที่การต่อสู้ทางการเมือง โดยการนำภาพนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ถูกจับ และไม่ได้รับการประกันตัวใส่กรอบและขึ้นติดไว้บนฝาบ้าน จนกลายเป็น #รูปที่มีทุกบ้าน”
ที่สำคัญ เฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ของ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“.....ตามประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9
.....เรื่อง การห้ามชุมนุม ทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
.....ข้อ 3. ห้ามมิให้มีการชุมนุม หรือทำกิจกรรมที่มีการรวมคนที่มีความแออัดในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ฯลฯ
.....หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศนี้ ต้องรับโทษตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.....ผู้ที่ไปร่วมชุมนุมที่บริเวณสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 20 มีนาคม 2564 ทุกๆ คน ไม่ว่าเป็นแกนนำหรือไม่ ก็มีความผิดตามประกาศฉบับนี้เหมือนกันทุกคน
.....เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องดำเนินคดีแก่ผู้ไปร่วมชุมนุมทุกๆ คน ไม่ว่าคนนั้นเป็นใครก็ตามรวมทั้งผู้ที่เป็น ส.ส.ด้วย
.....กล่าวเฉพาะผู้ที่เป็น ส.ส. นอกจากมีความผิดตามประกาศฉบับนี้แล้ว ยังเป็นการประพฤติผิดข้อบังคับ ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ข้อ 6, 7 และ 9 ด้วย”
แน่นอน, ต้องยอมรับว่า การปะทะกันด้วยความรุนแรงระหว่าง ม็อบ 3 นิ้ว กับ เจ้าหน้าตำรวจคุมฝูงชน จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งสองฝ่าย
สุดท้าย แต่ละฝ่ายก็ออกมาอ้างว่า ฝ่ายตนไม่ได้เป็นผู้เริ่มเช่นเคย แต่ถึงอย่างไร ก็มีพยานหลักฐานชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ก่อความรุนแรง
กระนั้นที่แปลก ก็คือ บก.ฟ้าเดียวกัน ลูกน้องคนสนิทของ นายธนาธร ออกมาชี้เป้าว่า คนที่ก่อเหตุ ชื่อ “ภูมิ” อายุ 17 ปี ซึ่งเคยเป็นคนขับรถให้ “แอมมี่” ในคดีเผาพระบรมฉายาลักษณ์ แต่ถูกกันเป็นพยาน และจนวันนี้ ตำรวจก็ยังไม่ได้ดำเนินคดีอะไร
ฟังแล้ว เหมือนพยายามโยนผิด ความรุนแรงทั้งหมดมาให้เด็กอายุ 17 พร้อมกับ สร้างเรื่อง “ป้ายสี” ตำรวจด้วย การตั้งข้อสงสัยว่า แปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายตำรวจหรือไม่ แม้จะไม่พูดตรงๆ ก็ตาม ซึ่งก็เท่ากับพยายามกล่าวหาว่า ตำรวจวางแผนให้นายภูมิ ก่อเหตุนั่นเอง?
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องยอมรับอีกอย่าง ก็คือ ม็อบทำผิดกฎหมายแน่นอน อย่างที่ตำรวจแถลงว่า ยังคงมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน บังคับใช้ ไม่ให้ชุมนุมหรือม็อบ ยังคงมี พ.ร.บ.ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 บังคับใช้ ไม่ให้ชุมนุมกันของคนจำนวนมาก ทั้งสองความผิดมีโทษทั้งจำและปรับด้วย
และเมื่อมีการทำผิดกฎหมายเพิ่ม ก็มีความผิดอีกหลายคดีด้วย อย่างที่ อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาท่านชี้ให้เห็น ไม่เว้นแม้แต่ผู้ร่วมชุมนุม รวมทั้ง ส.ส. ที่ไปร่วมชุมนุม ก็ยิ่งจะโดนข้อหาหนัก
เหนืออื่นใด ยังคงน่าเศร้าอยู่เช่นเคย ที่ผู้ปลุกปั่นยุยงส่งเสริมอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองบางกลุ่ม พรรคการเมืองบางพรรค นักวิชาการมหาวิทยาลัย อาจารย์มหาวิทยาลัย ยังไม่ถูกจับ และยังคงเสนอหน้าออกมาปลุกปั่นยุยงต่อ เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคดีที่เด็กเยาวชนจำนวนมากถูกจับกุม และถูกคุมขังไม่ได้ประกัน
แถมยังฉวยโอกาสใช้ความทุกข์ของเด็กเหล่านี้มาเป็นเกมต่อสู้กับอำนาจรัฐ อำนาจเผด็จการ สนองตัณหาการเมืองของตัวเอง อย่างน่าไม่อายอีกด้วย นี่คือ ปัญหาใหญ่ที่เป็นอยู่ในเวลานี้
อย่าเที่ยวโทษเจ้าหน้าที่อยู่เลย เพียงพวกท่านหยุดยุยงปลุกปั่น “ล้มเจ้า” ม็อบหยุด บ้านเมืองก็สงบเรียบร้อย รัฐบาลก็จะได้เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐสภา ก็จะได้เร่งแก้ปัญหาการเมือง ประชาชนอาจต้องการแค่นี้ก็เป็นได้ ลองเปิดหูเปิดตารับฟังดู ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ไม่เชื่อคอยดู!!!