“อดีต ส.ว.รสนา” จี้ศุลกากรชี้แจง หลังมีข่าวทายาท “ปัฐวาท” เพื่อน “บิ๊กป้อม” ไปจ่ายภาษีนำเข้านาฬิกาหรู 21 เรือน ย้อนหลังมูลค่ากว่า 20 ล้าน เมื่อเดือน ต.ค. 63 ชี้ ถ้าไปจ่ายจริง จ่ายครบถ้วนหรือไม่ และต้องริบนาฬิกาทั้งหมด เพราะกระทำผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีสำเร็จแล้ว
วันนี้ (15 มี.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Rosana Tositrakul ในหัวข้อ “กรมศุลฯ ต้องริบนาฬิกายืมเพื่อนให้ตกเป็นของแผ่นดิน” มีรายละเอียดว่า วันนี้ (15 มีนาคม 2564) ดิฉันได้ส่งหนังสือลงทะเบียนตอบรับ ถาม 4 คำถาม ถึงอธิบดีกรมศุลกากร ความว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2564 จากสำนักข่าวอิศรารายงานว่า ได้รับการยืนยันข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูงในกรมศุลกากรเกี่ยวกับกรณี ‘นาฬิกายืมเพื่อน’ ว่า “ภายหลังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำหนังสือมายังกรมศุลกากร หลังจากนั้น กรมศุลกากรดำเนินการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ และได้เรียกเก็บภาษีนำเข้านาฬิกาหรูดังกล่าวแล้ว โดยเมื่อเดือน ต.ค. 2563 ที่ผ่านมา มีบุคคลเข้ามายื่นเสียภาษีนำเข้านาฬิกาหรูดังกล่าวทั้งหมด ส่วนผู้ที่เข้ามายื่นเป็นใคร และเสียภาษีเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ไม่ทราบรายละเอียด อย่างไรก็ดี รายงานข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช. แจ้งสำนักข่าวอิศราว่า บุคคลที่เข้ามาจ่ายภาษีนำเข้านาฬิกาหรูดังกล่าว คือ ทายาทของนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ (เสียชีวิตแล้ว) นักธุรกิจที่เป็นเพื่อนสนิทของ พล.อ.ประวิตร โดยชำระภาษีนำเข้าเป็นเงินกว่า 20 ล้านบาท”
โดยที่ดิฉันได้เคยส่งหนังสือร้องเรียนเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2563 ถึงอธิบดีกรมศุลกากร ให้ริบนาฬิกาของ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากเป็นนาฬิกาที่นำเข้ามาในประเทศโดยมิได้เสียภาษีให้ถูกต้อง และดิฉันได้ส่งหนังสือไปถึงปลัดกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาตามสายงานของอธิบดีกรมศุลกากรให้กำกับให้อธิบดีกรมศุลกากรดำเนินการริบนาฬิกาทั้ง 21 เรือน ที่ลักลอบนำเข้ามาโดยมิได้เสียภาษีให้ตกเป็นของแผ่นดินต่อไปนั้น
เมื่อปรากฏเป็นข่าวว่า ทายาทของ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ นำเงินมาชำระภาษีเป็นจำนวนเงิน 20 ล้านบาทนั้น ซึ่งยังเป็นเพียงข่าวที่ไม่อาจยืนยันข้อเท็จจริงได้
โดยที่นาฬิกาทั้ง 21 เรือน ไม่มีหลักฐานการเสียภาษีนำเข้าที่ถูกต้อง ย่อมแสดงว่า เป็นการลักลอบนำเข้านาฬิกาดังกล่าว และเป็นความผิดที่สำเร็จแล้ว อธิบดีกรมศุลกากรมีหน้าที่ต้องดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 ที่บัญญัติไว้ดังนี้
“มาตรา 242 ผู้ใดนําเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร หรือเคลื่อนย้ายของออกไปจากยานพาหนะ คลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า ที่มั่นคง ท่าเรือ รับอนุญาต หรือเขตปลอดอากร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ริบของนั้น ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคําพิพากษาหรือไม่”
การนำของเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้เสียภาษีให้ถูกต้องครบถ้วนมีความผิดทั้งทางปกครองและความผิดทางอาญา ความผิดทางปกครองคือกรมศุลกากรมีอำนาจหน้าที่ประเมินเรียกเก็บภาษีให้ถูกต้องครบถ้วนพร้อมเงินเพิ่มและเบี้ยปรับตามมาตรา 13 และมาตรา 19 ถึง 22 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 ความผิดทางปกครองนี้ไม่ระงับแม้ผู้นำเข้าตาย ส่วนความผิดทางอาญาตามมาตรา 242 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 นั้นระงับหากผู้นำเข้าตาย แต่ก็ระงับเฉพาะโทษจำคุกและการปรับเท่านั้น ส่วนการริบของที่นำเข้านั้น กรมศุลกากรมีหน้าที่ต้องริบ เพราะมาตรา 242 บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ริบ ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่
ฉะนั้น จึงขอสอบถามอธิบดีกรมศุลกากรดังนี้
1) มีการเสียภาษีตามที่เป็นข่าวหรือไม่
2) ถ้ามีการเสียภาษีจริง จำนวนภาษีที่เสียนั้นถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรและได้เสียเงินเพิ่มและเบี้ยปรับถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ขอให้ชี้แจงรายละเอียดด้วย
3) มีการริบนาฬิกาทั้งหมดตามมาตรา 242 แห่งพระราชศุลกากร พ.ศ. 2560 หรือไม่
4) อนึ่ง แม้คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะวินิจฉัยว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืมนาฬิกา นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ก็ไม่มีผลผูกพันกรมศุลกากรให้ต้องถือตามคำวินิจฉัยนั้น เพราะคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.มิใช่คำพิพากษาของศาล เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.มิใช่ศาล และพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ก็มิได้บัญญัติให้กรมศุลกากรต้องผูกพัน ถือตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังนั้น กรมศุลกากรจึงมีหน้าที่สืบสวนสอบสวนว่า พลเอก ประวิตร เป็นผู้นำนาฬิกาทั้งหมดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้เสียภาษีถูกต้องครบถ้วนอันเป็นความผิดตามมาตรา 242 หรือไม่ ซึ่งการดำเนินคดีอาญากับ พลเอก ประวิตร ไม่ระงับเนื่องจาก พลเอก ประวิตร ยังมีชีวิตอยู่
จึงใคร่ขอให้อธิบดีกรมศุลกากรได้ออกมาชี้แจงต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ