มหากาพย์รถเมล์เอ็นจีวีใกล้อวสาน หลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตัดสินหนังสือฟอร์มดีถูกต้อง พร้อมพิพากษาจำคุกเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ฐานใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ บริษัทโอดชนะคดีแต่ขอรถคืนยังนิ่งเงียบ วอนขอความเห็นใจหลังตกเป็นจำเลยสังคมมา 3 ปี แม้ได้รถคืนก็ต้องซ่อมแซมแถมไม่รู้จะขายใคร เพราะคู่ค้ายกเลิกสัญญาแล้ว
วันนี้ (23 ก.พ.) นายจินดาสร แสงฤทธิ์ กรรมการบริหารฯ กล่าวว่า ตามที่บริษัท ซุปเปอร์ซาร่า จำกัด เป็นโจทก์ฟ้องผู้บริหารกรมศุลกากรกับพวกรวม 7 คน ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กรณีการนำเข้ารถยนต์โดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) ซึ่งมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าอาเซียน (FORM D) โดยบริษัทฯ ได้นำเข้ารถเมล์เอ็นจีวี ชุดแรก จำนวน 99 คัน โดยนำเข้ามายังท่าเรือแหลมฉบัง เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 และผู้ประกอบการได้ยื่นหนังสือ (FORM D) ต่อเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ท่าเรือแหลมฉบัง แต่ปรากฎมีความล่าช้าในการตรวจปล่อยสินค้า ทางผู้นำเข้าจึงยื่นหนังสือไปยังอธิบดีกรมศุลกากรเพื่อวางประกันภาษีในการตรวจปล่อยรถยนต์ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 แต่ภายหลังเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรไม่รับเงื่อนไขที่ทางบริษัทเสนอ และมีการแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 27 และ 99 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 พร้อมให้บริษัทวางประกันค่าภาษีสองเท่าเพื่อนำรถออกจากอารักขาของกรมศุลกากร
นายจินดาสรกล่าวอีกว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้มีคำพิพากษาตามคดีหมายเลขดำที่ อท.92/2560 และคดีหมายเลขแดงที่ อท.147/2560 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 ให้โจทก์เป็นผู้ชนะคดี โดยมีการสั่งจำคุกเจ้าหน้าที่ 3 ราย ที่ใช้อำนาจสั่งการโดยมิชอบรายละ 3 ปี และหลังจากศาลมีคำพิพากษา ทางบริษัทฯ ได้มีการยื่นหนังสือไปยังอธิบดีกรมศุลกากร เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 เพื่อขอรับรถคืนตามคำพิพากษาของศาลที่ได้วินิจฉัยว่า “รถยนต์โดยสารที่พิพาทนั้นยังคงได้ถิ่นกำเนิดสินค้าเป็นประเทศมาเลเซีย ตามหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า คดีปราศจากพยานหลักฐานว่า บริษัทผู้นำเข้าสินค้ารถยนต์โดยสาร ได้รับหลักฐานรับรองถิ่นกำเนิดจากประเทศมาเลเซียไม่ถูกต้อง หรือมีการฉ้อฉลแต่อย่างใด ฉะนั้น ข้อกล่าหาว่าทางบริษัทกระทำความผิด ฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากร จึงไม่เป็นความผิดแต่อย่างใด...” แต่ปรากฏว่าทางกรมศุลกากรยังมีการเพิกเฉยต่อหนังสือที่ทางบริษัทได้มีการส่งทวงถามเพื่อขอรับรถคืน บริษัทจึงมีการส่งหนังสือไปยังกรมศุลกากรอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อใช้สิทธิในการขอรับรถคืนตามกฎหมายและตามคำพิพากษาของศาล แต่ทางกรมศุลกากรยังคงเพิกเฉย
“ที่ผ่านมาแม้ศาลจะมีคำพิพากษาอย่างชัดเจน แต่มีเจ้าหน้าที่บางรายพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงในการให้ข่าวว่ากรมศุลกากรชนะคดี จึงเป็นการแสดงถึงเจตนาในการบิดเบือนข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้นจนวินาทีสุดท้าย ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับความเสียหาย เนื่องจากกรมศุลกากรสั่งอายัดรถแต่เก็บไว้ที่ท่าเรือเอกชน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแพงมากและยังต้องจ่ายจนกว่าบริษัทจะชำระค่าเช่าและนำรถออก ทางบริษัทจึงขอความเห็นใจมายังภาครัฐ เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบริษัทจะมีใครมารับผิดชอบ” นายจินดาสรกล่าว และว่า อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะได้รับรถคืน แต่สภาพรถที่จอดตากแดดตากฝนเป็นเวลากว่า 3 ปี ทั้งสภาพรถที่ขึ้นสนิมเนื่องจากอยู่ใกล้ทะเล และไม่ได้มีการขับเคลื่อนเป็นเวลานานย่อมก่อเกิดสนิมในส่วนของอุปกรณ์ขับเคลื่อน เวลารีสตาร์ทใหม่สนิมดังกล่าวจะทำให้ลูกสูบเครื่องยนต์เสียหาย ทั้งนี้ยังไม่นับรวม ยาง กระทะล้อ เพลาขับ แบตเตอรี่ หรืออุปกรณ์ต่างที่จะเสียหายจากการไม่ใช้งานและจอดอยู่ใกล้ทะเล จากที่บริษัทประเมินจากสภาพรถดังกล่าวการซ่อมบำรุงเพื่อปรับปรุงสภาพจะต้องใช้เงินจำนวนไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทต่อคัน ที่สำคัญคู่ค้าที่สั่งซื้อรถเมล์เอ็นจีวีดังกล่าวได้มีการยกเลิกสัญญาเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้จะไปขายใคร
นายจินดาสรกล่าวด้วยว่า เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจในการกลั่นแกล้งกักรถบริษัทฯ จนเกิดความเสียหายแล้ว ดังนั้น กรมศุลกาการควรปล่อยรถให้บริษัทโดยปราศจากข้อโต้แย้ง อันเนื่องจากรถไม่ใช่ของกลางในการกระทำความผิด และบริษัทยังคงได้ถิ่นกำเนิดสินค้าเป็นประเทศมาเลเซียตามคำวินิจฉัยของศาล และในมุมของบริษัทถึงแม้จะชนะคดีแต่ก็ถือว่าพ่ายแพ้อยู่ดี เพราะมิอาจประเมินมูลค่าความเสียหายได้ และที่สำคัญได้ตกเป็นจำเลยของสังคมมาตลอดระยะเวลา 3 ปี ซึ่งวันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า บริษัท ซุปเปอร์ซาร่า และตนเป็นผู้บริสุทธิ์ ถูกกลั่นแกล้งมาตลอดได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง อย่างไรก็ดี ตนไม่คิดที่จะเอาโทษหรือเอาผิดข้าราชการรายใดให้ต้องรับโทษติดคุกติดตะราง แต่อยากขอร้องกรมศุลกากรให้ส่งมอบรถ 99 คันคืนเพื่อจะได้ลดความเดือดร้อน โดยเฉพาะค่าเช่าที่จอดรถที่ท่าเรือแหลมฉบังเดือนละร่วมล้านบาท ขอให้จบกันแค่นี้ จะได้ไม่มีคดีลูกฟ้องร้องกันอีกต่อไป