อดีต ส.ว.“รสนา” ชี้ชาวคลองเตยถูกปล่อยปละเข้าไม่ถึงสาธารณูปโภคของรัฐมานาน ต้องแยกปัญหาความขัดแย้งออกจากการจัดสวัสดิการให้ประชาชนอย่างทั่วถึง เตือนรัฐบาลอย่าลืมคำ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
วันที่ 3 มี.ค. น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Rosana Tositrakul ในหัวข้อ “อย่าทิ้งชุมชนคลองเตยไว้ในความมืดมนใจกลางมหานคร” มีรายละเอียดว่า ข่าวพิมรี่พายติดตั้งไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ให้แก่ชุมชนคลองเตยกว่า 200 ดวง เพื่อให้คนทั้งประเทศมองเห็นคลองเตย เธอกล่าวว่า “ความมืดมิดใจกลางเมืองหลวง เพราะพิมเชื่อว่า...ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงแสงสว่าง”
แม้จะมีทั้งเสียงชื่นชมและทักท้วงว่าพิมรี่พายไปติดแสงไฟให้กับพื้นที่ที่ชาวคลองเตยไปรุกที่ของเอกชนรายอื่นหรือไม่ จึงเป็นสาเหตุที่ภาครัฐไม่สามารถเข้าไปจัดสาธารณูปโภคพื้นฐานให้แก่ชาวชุมชนคลองเตยตรงนั้นได้
ดิฉันได้มีโอกาสสอบถามผู้นำชุมชนที่คลองเตย และทราบว่าพื้นที่ที่พิมรี่พายติดไฟทั้งสนามเด็กเล่น และตามซอกซอยเป็นพื้นที่ล็อก 1, 2, 3 ซึ่งเป็นของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
บัดนี้คนทั้งประเทศคงได้เห็นคลองเตยตามที่เธอหวังไว้แล้วว่า เหตุใดจึงไม่มีไฟฟ้าในพื้นที่สาธารณะอย่างสนามเด็กเล่น และถนนหนทางของชุมชนแออัดใจกลางเมืองหลวง
การท่าเรือแห่งประเทศไทยเริ่มสร้างในพื้นที่คลองเตยเมื่อกว่า 70 ปีที่แล้ว มีการดึงแรงงานจากต่างจังหวัดมาก่อสร้างท่าเรือ พื้นที่โดยรอบจึงถูกใช้เป็นพื้นที่พักอาศัยของคนงานและครอบครัวที่อพยพเข้ามาจากต่างจังหวัด มาเป็นแรงงานในการสร้างท่าเรือ และต่อมาในยุค “พ.ศ. 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม” เป็นปีที่ไทยเริ่มมีการพัฒนาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับแรก คลองเตยก็กลายเป็นพื้นที่ของแรงงานอพยพจากที่อื่นๆ เข้ามาใช้เป็นที่อาศัยโดยปลูกสร้างบ้านพักชั่วคราว ตามบริเวณหลังบ้านของพนักงานการท่าเรือ จึงเรียกชุมชนเหล่านี้ว่า “ล็อก” ตามล็อกห้องแถวบ้านพักพนักงานการท่าเรือ คือ ตั้งแต่ล็อก 1 ถึง ล็อก 12 คลองเตยเลยกลายเป็นชุมชนแออัดใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
สิ่งที่สังคมมองผ่านเลยไป คือ ชุมชนคลองเตยคือผลพวงของการพัฒนาเมืองกรุงเทพมหานคร ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ แต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ต้องการแค่แรงงานราคาถูกจากชนบท แต่ละเลยการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานเหล่านั้นให้มีความเป็นอยู่ที่มีคุณภาพชีวิตตามสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่รวมถึงการขจัดความยากจน การมีน้ำใช้และสุขาภิบาลที่ยั่งยืน การมีพลังงานที่ทุกคนเข้าถึงได้ และการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ที่มีความปลอดภัยทั่วถึง ที่เป็นส่วนหนึ่งในหลักการ 17 ข้อของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) เพิ่งหยิบยกเอา 17 เป้าหมาย เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสากลมาเป็นประเด็นสำคัญในการวางทิศทางการดำเนินงาน ภายใต้แนวคิด “no one should be left behind” ที่ลุงตู่ นายกรัฐมนตรี มักหยิบยกมาพูดถึงอยู่บ่อยๆ แต่ท่านคงไม่รับรู้ว่าชุมชนคลองเตยประชากรนับแสนคนยังถูกทิ้งอยู่ข้างหลังมายาวนานมาก
ความขัดแย้งเรื่องพื้นที่อยู่อาศัยของชุมชนคลองเตยที่บุกรุกพื้นที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นมหากาพย์อันยาวนานกว่า 60 ปี ที่รัฐบาลแต่ละยุคพยายามผลักดันชาวคลองเตยให้ย้ายออกไปจากพื้นที่ ที่ปัจุบันได้กลายเป็นใจกลางเมืองและเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยาแปลงใหญ่ที่สุดเท่าที่เหลืออยู่เวลานี้ พื้นที่คลองเตยจึงมูลค่าที่ดินสูงมหาศาล ที่ภาครัฐอยากให้สัมปทานกับเอกชนไปลงทุนให้เจริญ ทันสมัย และอ้างว่าจะสร้างสมาร์ทคอมมูนิตี้ขึ้นบนที่ดินคลองเตย แต่เป็นสมาร์ทคอมมูนิตี้สำหรับคนรวยมากกว่าจะให้เป็นสมาร์ทคอมมูนิตี้ของชาวคลองเตย ใช่หรือไม่
การที่รัฐไม่จัดให้มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ไฟทาง ไฟบ้าน ไฟสนามเด็กเล่น และรวมถึงน้ำประปาให้ทุกครัวเรือนในคลองเตยในราคาที่เท่ากับครัวเรือนอื่นๆ เพราะมาจากฐานคิดว่าคนคลองเตยบุกรุกที่หลวง วิธีการบีบให้ออกจากพื้นที่ คือทำให้อยู่ลำบาก ไม่ให้เข้าถึงน้ำ ไฟ แบบบ้านอยู่อาศัยทั่วไป
แม้บีบคั้นมานานกว่า 60 ปี ก็ยังไม่สามารถผลักดันชาวคลองเตยออกจากที่บุกรุกได้ แต่กลับทำให้คนที่ยากจนที่สุด ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ในราคาแพงเป็น 2 เท่าของราคาทั่วไป เพราะต้องอาศัยพ่วงน้ำจากบ้านที่มีมิเตอร์ ส่วนไฟฟ้าที่เป็นมิเตอร์รวมทั้งชุมชนทำให้ถูกคิดค่าไฟแบบโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งแพงกว่าบ้านอยู่อาศัย ดิฉันยังได้รับทราบจากผู้นำชุมชนอีกว่า ยังมีคนจนในชุมชนคลองเตยเป็นจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงแพกเกจสวัสดิการต่างๆ ที่รัฐจัดให้ รวมทั้งค่าน้ำ-ไฟฟรีด้วย
ตามหลักสิทธิมนุษยชน ความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน เป็นเรื่องที่รัฐต้องไปตกลงกันกับชาวบ้าน ซึ่งต้องแยกออกจากการที่รัฐบาลต้องให้บริการแก่ประชาชนทุกคนที่จ่ายภาษีจ้างรัฐบาลมาบริหาร รัฐบาลต้องอำนวยสาธารณูปโภคพื้นฐานให้แก่ประชาชนอย่างเสมอหน้ากัน อย่าว่าแต่คนไทยเลย แม้แต่คนอพยพจากประเทศอื่น รัฐบาลก็ยังต้องอำนวยสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ตามหลักสิทธิมนุษชน
จากคลิปของพิมรี่พายที่สัมภาษณ์ชาวคลองเตยว่าอยู่ในสภาพมืดมน ไม่มีแสงไฟทาง ไฟสาธารณะมานานเท่าใดแล้ว คำตอบจากชาวคลองเตยว่า ไม่ต่ำกว่า 60 ปีมาแล้ว เป็นเรื่องที่คนภายนอกอาจจะไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าใจกลางความเจริญของเมือง คลองเตยยังไม่ต่างจากบ้านป่าที่มีเสาไฟฟ้าวิ่งผ่านหลังคาบ้าน แต่ตนเองเข้าไม่ถึงแสงสว่าง
แสงไฟจากโซลาร์ของพิมรี่พาย น่าจะกระตุกความคิดของภาครัฐ และสังคมว่า แนวคิด “no one should be left behind” ควรมีวิธีปฏิบัติให้เป็นจริงอย่างไร การที่เธอลุกขึ้นมาติดไฟฟ้าส่องสว่างในสนามเด็กเล่น ในถนนหนทาง ซึ่งควรเป็นหน้าที่ของรัฐ คงจะได้กระตุกต่อมสำนึกว่าการเกิดขึ้นของชุมชนแออัดซึ่งคือที่อยู่อาศัยราคาถูกของคนจนเมืองที่ยังทำงานรับใช้ และค้ำจุนเศรษฐกิจของเมืองใหญ่อย่าง กทม.อยู่ รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องดูแลคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานของประชากรไทยเต็มขั้นเหล่านี้ รวมทั้งสร้างพื้นฐานอนาคตที่ดีแก่ลูกหลานของชุมชนคลองเตย ที่มีความใฝ่ฝันอันก้าวหน้าเหมือนเยาวชนสากลทั้งหลาย อย่าให้เมืองหลวงของไทยถูกตำหนิว่า เติบโตมาจากแรงงานราคาถูกของคนจนทั้งประเทศ แล้วทอดทิ้งประชากรอันมีค่าเหล่านี้ไว้ข้างหลัง