ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ฮือฮากันทั้งบาง เมื่อ ปปง. พบเส้นทางเงินบ่อน “หลงจู๊-เสี่ยโป้” ถูกยักย้ายถ่ายโอนสู่เครือข่ายกว่า 100 ราย เฉพาะแค่พื้นที่ชลบุรี-ระยอง ก็มีตำรวจตั้งแต่ระดับนายพล ยัน ผบ.หมู่ เข้าไปมีเอี่ยวถึง 253 นาย แถมแว่วว่ามีระดับ “บิ๊กมาก” อีก 2 นาย ที่กินส่วยคนละ 30 ล้านต่อเดือน
คดีเครือข่ายบ่อนพนันภาคตะวันออก ยังคงเป็นข่าวฮือฮา เมื่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดย “พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง” รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง. แถลงความคืบหน้าว่าได้ ยึด อายัดทรัพย์สิน จากเครือข่ายของ “หลงจู๊สมชาย” และ “เสี่ยโป้ โป้อานนท์” ไปแล้ว 430 รายการ ทั้งเงินในบัญชีฝากธนาคารเครื่องประดับ ทองรูปพรรณ ยานพาหนะ ห้องชุด ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท
นี่เป็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น... ว่ากันว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหา “ฟอกเงิน” เร็วกว่านี้ ไม่ใช่แค่ข้อหา “จัดให้มีการเล่นการพนัน” แล้วปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเป็นเดือน จนมีการยักย้ายถ่ายโอนออกไป เชื่อว่าจะต้องติดตามยึดทรัพย์ได้มากกว่านี้แน่
แม้จะเป็นการติดตามที่ยากลำบาก แต่ ปปง. ก็แกะรอยเส้นทางการเงินจนพบว่า จุดเริ่มต้นมาจาก “บ่อนมาบตาพุด” ของ “หลงจู๊” จากนั้นก็มีการโยกย้ายถ่ายโอน ไปสู่เครือข่าย ที่โยงใยกับ “หลงจู๊-เสี่ยโป้” อย่างชัดเจนกว่า 100 ราย ที่มีหลักฐานโยงไปถึง ซึ่ง ปปง. ยอมรับว่า ยังมีอีกบางส่วนที่หลักฐานไปไม่ถึง
แน่นอนว่า เป็นเครือข่าย “อาชญากรรม” ขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยบุคคลหลายระดับ หลายเส้นทาง เข้ามาร่วมวง
ขณะที่ความคืบหน้าการการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการทางวินัย กับตำรวจที่เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนันในพื้นที่ภาคตะวันออก ที่มี “พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ” จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ ในเบื้องต้นนั้น นอกจากจะพบว่า “พล.ต.ต.ปภัชเดช เกตุพันธ์” ผบก.ภ.จว.ระยอง “พล.ต.ต.ประการ ประจง” ผบก.ภ.จว.ชลบุรี กับพวก รวม 7 นาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับบ่อนการพนัน ในพื้นที่ จ.ระยอง และชลบุรี และกำลังถูกสอบสวนฐานผิดวินัยร้ายแรงแล้ว
เมื่อสอบลึกลงไป ก็พบว่ามีข้าราชการตำรวจที่อยู่ในเครือข่ายเกี่ยวข้อง อีก 253 นาย เป็นระดับชั้นนายพล ถึง สว. 53 นาย ระดับรอง สว. ถึง ผบ.หมู่ 200 นาย ในสังกัด ภ.2, บก.สส.ภ.2, ภ.จว.ชลบุรี, ภ.จว.ระยอง, กก.สส.ภ.จว.ชลบุรี, กก.สส.ภ.จว.ระยอง, สภ.เมืองระยอง และ สภ.บางละมุง
นี่เฉพาะพื้นที่ จ.ชลบุรี และ ระยอง เท่านั้น ส่วนพื้นที่ จ.จันทบุรี และ ตราด ที่มีความเชื่อมโยงอยู่ในเครือข่ายเดียวกันนั้น ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ยังไม่ได้สรุป และเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา ...ซึ่งนอกจากจะความผิดวินัยอย่างร้ายแรงแล้ว อาจมีความผิดทางอาญา ข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรืออาจต้องรับผิดทางแพ่งด้วยก็ได้
หากจำนวนตำรวจในพื้นที่ จ.จันทบุรี และ ตราด ที่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นจำนวนใกล้เคียงกับของ จ.ระยอง และชลบุรี ก็เป็นเรื่องที่ช็อกสังคมไม่น้อย เพราะจะมีตำรวจในภาคตะวันออก ที่เข้ามาพัวพันอยู่ในเครือข่ายของ “หลงจู๊” ไม่น้อยกว่า 500 นาย !!
จำนวนที่มากมายนี้ ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่า สำหรับตำรวจแล้ว “หลงจู๊” ดูแลทั่วถึงทุกระดับ ทั้งในวงกว้าง และฝังรากลึก...และยังแว่วว่า มีบิ๊กตำรวจ 2 นาย ที่จะอยู่ในระดับ “บิ๊กมาก” หากเอ่ยชื่อออกมารับรองว่า “ช็อก” กันทั้งวงการแน่ ซึ่ง 2 บิ๊กที่ว่านี้ “หลงจู๊” ดูแลส่งส่วยให้เป็นพิเศษ ถึงเดือนละ 30 ล้านต่อคน ... เรื่องนี้จะจริงเท็จ เท็จจริงอย่างไร ยังไม่มีหลักฐานมัด แต่มีข่าวเล็ดรอดออกมา หลังจากการสืบสวนสอบสวนที่เข้าถึงจุด “เข้มข้น” !!
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า หลังคณะกรรมการรวบรวมผลการสืบสวนสอบสวน ส่งรายงานถึง “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. แล้วบทสรุปสุดท้ายจะออกมาอย่างไร
**รู้จักตัวตน “อิสริยะ” คนไอที ที่เลือกข้างฝักใฝ่ฝ่ายประชาธิปไตยมานาน เมื่อมาพาลกับคนเห็นต่างเชียร์ทหาร จึงพา Wongnaiพัง !!
เกิดปรากฏการณ์ของผู้ใช้งานมือถือระบบ iOS และ Android แห่กันเข้ามากด “ด้อยค่า” แอปพลิเคชันรีวิวอาหารชื่อดัง “Wongnai” จนเรตติ้ง หรือดาวตกอย่างรุนแรง หลัง “อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์” หนึ่งในผู้บริหารแพลตฟอร์มวงใน โพสต์ทวิตเตอร์ แซะเจ้าของร้านอาหารจีนแห่งหนึ่งว่า “เชียร์ทหาร” โดยงานนี้ชาวเน็ตต่างแสดงความเห็นว่า เป็นพฤติกรรมน่ารังเกียจ เอาความเห็นทางการเมืองของตัวเองมาปนกับหน้าที่ของการรีวิวร้านอาหารแบบไม่มืออาชีพ มีอคติ เจตนาโจมตีฝ่ายเห็นต่างตัวเอง ให้สังคมเกลียดชังเจ้าของและร้าน โดยที่ไม่เกี่ยวกับรสชาติอาหารหรือบริหารของร้านเลยแม้แต่น้อย
งานนี้ต้องบอกว่า เป็นเรื่องอยู่ดีไม่ว่าดี แกว่งปากหาเสี้ยน ของ “อิสริยะ” ซึ่งในแวดวงไอที รู้จักกันดีว่า เขาคือผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์บล็อกนัน (Blognone) แบรนด์อินไซด์ (Brand Inside) ก่อนที่จะกลายมาเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นและผู้บริหารของวงใน หลังจากที่ได้ขายหุ้นบล็อกนันและแบรนด์อินไซต์ให้กับ “ยอด ชินสุภัคกุล” ผู้ก่อตั้ง วงใน ไปเมื่อปี 60 ซึ่ง Wongnai ก็ต้องการจะเป็นเจ้าของสื่อเพื่อเติมเต็มให้กับธุรกิจแพลตฟอร์มรีวิวร้านอาหาร
ส่วนตัว “อิสริยะ” จบวิศวะคอมพิวเตอร์ ถนัดในการเขียนโปรแกรม เคยออกตัวว่าไม่ใช่คนทำสื่อโดยพื้นฐาน แต่การมีธุรกิจสื่อบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ทำให้เขาถูกเชิญไปอภิปรายในฐานะคนทำสื่อในยุคดิจิทัล ในหลายเวที โดยที่มีการแสดงความเห็นทางการเมืองที่ตัวเองชื่นชอบไปด้วย และหลายครั้งที่เขามักถูกเชิญขึ้นเวทีร่วมกับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ ฝักใฝ่ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ซึ่งปัจจุบันเป็นกำลังหนุนให้ม็อบ 3 นิ้ว
การอภิปราย และบทความของเขาถูกนำไปเผยแพร่ในสื่อของฝ่ายประชาธิปไตย และสื่อที่มีทัศนคติรุนแรงต่อสถาบันอย่าง “ประชาไท” ก็หลายครั้ง
ในวงการก็รู้กันว่า “อิสริยะ” เลือกข้างมานานแล้ว ชัดเจนว่าไม่เชียร์ทหาร ไม่เชียร์ลุง ๆ แน่ ๆ
แต่การที่ “อิสริยะ” สวมหมวกอีกใบ ในฐานะเป็น ผู้บริหารแพลตฟอร์ม Wongnai ที่เป็นที่รู้จักกันว่า เป็นแอปพลิเคชันรีวิวร้านอาหาร โพสต์ข้อความที่ไม่เกี่ยวกับการรีวิว การเอาเรื่องส่วนตัวของเจ้าของร้านอาหารมาบูลลี่ นินทา จึงมองกันว่าเขาไม่มีความเป็นมืออาชีพ แยกแยะไม่ออกระหว่างการเมือง กับหน้าที่ที่ควรจะทำ
ดรามาที่เกิดขึ้น “อิสริยะ” กลับตอบโต้ไปว่าคนที่เห็นต่างเป็นพวกไอโอของทหาร ยิ่งทำให้ชาวเน็ตไม่พอใจ พากันลบแอปพลิเคชัน Wongnai ทิ้ง และตำหนิหนักขั้นไปอีก
ทัวร์ลง Wongnai ครั้งนี้ จึงเท่ากับเป็นการสั่งสอนบทเรียนให้กับวงใน ว่า การจัดอันดับธุรกิจอาหาร ไม่ควรปนเปื้อน อคติทางการเมือง ซึ่งมองในแง่มุมไหนก็ผิด เพราะเจ้าของร้านอาหาร หรือลูกค้าของวงใน จะชอบฝ่ายใด เลือกข้างไหนก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่าเขา และการเมืองก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการรีวิว
งานนี้ นับว่าทำพลาดอย่างแรง สำหรับ “อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์” จนส่งผลเสียหายย้อนกลับมาที่แอปดัง แบบจังๆ
**เจ้าสัว “คีรี” วิ่งสู้ฟัด รถไฟสายสีล้มล้มประมูล งานนี้มีแรงฮึดเพราะได้แบ็กดี?
ไม่บ่อยนักที่วงการธุรกิจโดยเฉพาะอภิมหาโปรเจกต์หลายแสนล้าน กับอภิมหาเศรษฐีอย่างระดับเจ้าสัว “คีรี กาญจนพาสน์” เจ้าของอาณาจักรรถไฟฟ้าบีทีเอส จะมีการเคลื่อนไหวชนิดที่ต้องเรียกว่า “วิ่งสู้ฟัด” และก็คงต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ธุรกิจอีกหนึ่งหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย
ว่าด้วยการประมูลโครงการระบบขนส่งมวลชนของรัฐรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่มีอันต้องล้มประมูลไปจากเหตุผล “ล้มเพื่อลุกใหม่” ง่ายกว่า เร็วกว่า แต่ไม่แฟร์ในความรู้สึกของ “เจ้าสัวคีรี” จึงต้องให้บริษัท ส่งจดหมาย ถึง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม รวมถึงประธานคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และ ประธานคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ขอให้ตรวจสอบการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เนื่องจาก รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกตาม มาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐ และเอกชน พ.ศ. 2562 ได้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน ไม่ชอบ
ตามด้วย ทีมกฎหมายของบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณายื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลาง ที่ได้จำหน่ายคดีที่บริษัท ยื่นฟ้องรฟม.และคณะกรรมการคัดเลือก มาตรา 36
นอกจากนี้ ยังพิจารณาประเด็นใหม่ ที่ รฟม. ยกเลิกการประกวดราคาและทำการเปิดประกวดราคาใหม่ รวมถึงเปิดรับฟังความคิดเห็นเอกชนร่าง RFP ใหม่ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยกำลังจะพิจารณาและยื่นฟ้องศาลใหม่ภายใน 90 วัน
ขณะเดียวกัน ยังมีกรณีที่บริษัทยื่นฟ้องที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ฟ้องผู้ว่าฯ รฟม. และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 165 ซึ่งวันที่ 15 มี.ค.นี้ ศาลจะมีคำสั่งรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่
เรียกว่า งานนี้เจ้าสัวดับเครื่องชนเต็มที่ ซึ่งว่ากันว่าการที่ “เจ้าสัวคีรี” สู้ยิบตา กางตำรากฎหมายมาว่ากันอย่างถึงที่สุดนี้ เพราะได้คำปรึกษาชี้แนะจากบุคคลระดับคร่ำหวอดอยู่ในวิชาชีพ “กฎหมาย” อดีตผู้พากษาอาวุโสเบอร์ต้นๆ ระดับเอ่ยชื่อขึ้นมาแล้วมีหนาว
ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก เดิมพันด้วยโครงการหลายแสนล้าน เมื่อมีแบ็กดี “เจ้าสัวคีรี” จึงพกความมั่นใจมาเต็มพิกัด
ส่วนการประมูลใหม่ บีทีเอส จะร่วมหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ แต่อย่างน้อยการวิ่งสู้ฟัด เจ้าสัวยืนยันต้องการแสดงออก ขอความเป็นธรรม ที่เห็นว่า การใช้หลักเกณฑ์เดิม มีความเหมาะสมโดยพิจารณาจากซองเทคนิคก่อน และตัดสินที่ซองราคา
งานนี้ เป็นโครงการร่วมลงทุน (PPP) ก็น่าเห็นใจทุกฝ่าย เพราะเมื่อประมูลชนะ ไม่ว่าใครก็ตาม เอกชนคู่สัญญาจะต้องอยู่คู่กับภาครับอีกนาน คุณภาพก่อสร้างและประสิทธิภาพการบริการ หากไม่ดีเป็นความเสี่ยงของเอกชนทั้งสิ้น
นี่ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า รถไฟสายสีส้ม จะไปจบที่ตรงไหน