xs
xsm
sm
md
lg

ใครกันกินปูนร้อนท้อง? จากเรื่องตำรวจใหญ่ถูกซัดทอดจากผู้ร้ายยาเสพติด **ตรรกวิบัติหรือไม่ โฆษกกลาโหมเห็นใจโรงแรมดัง** "สิระ" เชลียร์ไม่เข้าเรื่อง ทำเหรียญ"หลวงพ่อป้อม"ห้อยคอ ** “เจี๊ยบ นครปฐม-บิ๊กตู่” ลีลาคารมทันกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์






ข่าวปนคน คนปนข่าว

**ใครกันกินปูนร้อนท้อง? จากเรื่องตำรวจใหญ่ถูกซัดทอดจากผู้ร้ายยาเสพติด ส่ง “ไอ้โม่ง” เดินเกมใต้ดินถล่ม “บิ๊กใหม่” รอง ผบ.ตร.

เกิดเหตุสะเทือนเลื่อนลั่นในยุทธจักรสีกากี อาฟเตอร์ช็อกตามมาหลังคำสั่งช็อกวงการตำรวจ เมื่อด้านหนึ่ง “บิ๊กต่อ” พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เคลื่อนไหวให้ “พ.ต.ท.เอกศิษฏ์ โตอดิเทพย์” ปฏิบัติราชการสำนักงาน รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) รับมอบอำนาจ แจ้งต่อ “พ.ต.ต.พุฒินันท์ นาสุวรรณ” สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ป.เพื่อดำเนินคดี เอาผิดกับเพจเฟซบุ๊กชื่อ “สนับสนุนปฏิรูปตำรวจ” และผู้เกี่ยวข้องกับเพจนี้

เพจดังกล่าวนี้ถูกแจ้งความดำเนินคดีในฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เนื่องเพราะนำภาพ “พล.ต.ท.ต่อศักดิ์” พร้อมกับตำรวจอีกนาย มาเผยแพร่คู่กับภาพ “หนังสือราชการ” ที่ลงนามโดย “พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์” รอง ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ให้ตรวจสอบคดียาไอซ์ ซึ่งทาง พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ เห็นว่า เพจและผู้เกี่ยวข้องกับเพจจงใจกล่าวหาว่า “บิ๊กต่อ” มีส่วนพัวพันกับขบวนการลักลอบขนไอซ์ 1,500 กก. ซึ่งถูกจับกุมที่ จ.ตาก เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 62 และมีผู้ต้องการซัดทอดนายตำรวจใหญ่ ร่วมสมคบ
 
ตัวแทนของ “บิ๊กต่อ” ยังได้ปฏิเสธว่าหนังสือราชการที่เพจเอามาเผยแพร่ แม้จะเป็นของจริงแต่เนื้อหาไม่เป็นความจริง เพราะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวไปแล้วบางส่วน ซึ่ง พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่กล่าวหาแต่อย่างใด จึงถือเป็นการกระทำเสื่อมเสียต่อชื่อเสียง
 
“พ.ต.ท.เอกศิษฏ์” ยังยืนยันว่าจะให้ตรวจสอบว่าหนังสือราชการดังกล่าวมีที่มาอย่างไร เนื่องจากหนังสือราชการเป็น “เอกสารลับ” ไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้
 
เบื้องต้นแจ้งความเอาผิดเพจนี้เพียงเพจเดียว แต่หากอนาคตมีการหมิ่นประมาทอีก เชื่อว่า “พล.ต.ท.ต่อศักดิ์” คงดำเนินคดีอีกแน่นอน
 
น่าสังเกตว่า ขณะที่ “พล.ต.ท.ต่อศักดิ์” จัดหนักเพจที่กล่าวหาเป็นคดีความนั้น ในอีกด้านหนึ่ง ปรากฏมี “ไอโม่ง” ออกปฏิบัติการดิสเครดิต “บิ๊กใหม่” พล.ต.อ.สุชาติ รอง ผบ.ตร. ปั่นข่าวให้กระจายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวหาว่าเป็นคู่ขัดแย้งกับพล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ตามด้วยการปล่อยข่าวลือ เช่น กำลังจะถูกเรียกตัวจากเบื้องบน กำลังจะถูกคำสั่งย้ายให้เข้าประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
 
ที่เลวร้ายเป็นพฤติกรรมที่น่าสะอิดสะเอียน เล่นกันเลอะเทอะชนิดที่ลูกผู้ชายเขาไม่ทำกัน ด้วยการปล่อยภาพพร้อมแคปชันให้สำนักข่าวชื่อดังที่เป็นพรรคพวกลงข่าวบิดเบือนมุมกล้องถ่ายจากด้านข้างให้ดูเหมือน รอง ผบ.ตร. กับหญิงสาวในลักษณะเชิงชู้สาว จับมือถือแขน ทั้งๆ ที่เป็นภาพเก่าไม่มีอะไร และมีผู้ใหญ่อยู่ในเหตการณ์หลายคน

พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล - พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์
งานนี้เมาท์กันให้แซ่ดในปทุมวัน ต้องมีคน “กินปูนร้อนท้อง” จ้องทำลายกัน ซึ่งตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาที่รู้จัก “พล.ต.อ.สุชาติ” ย่อมรู้ว่า เป็นคนทำงานจริงจัง ไม่ค่อยพูด และถ้าพูดถึงครอบครัวยิ่งไม่มีปัญหา
แวดวงตำรวจยังเมาท์ต่อว่า ใครบางคนกำลังหลังชนกำแพงอยู่หรือไม่ จึงปล่อย “ไอ้โม่ง” ออกมา และยิ่งทำยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า เขาเอา “เชือกมาคล้องคอตัวเอง” ยิ่งดิ้นยิ่งจะรัดคอตัวเอง
อีกประเด็นหนึ่งที่เมาท์มอยกัน ว่ากันตามหลักเหตุผล หนังสือราชการที่ลงนามโดย “บิ๊กใหม่” เป็นหนังสือ “ด่วนที่สุด” นั่นก็ทราบกันว่า “มาตามขั้นตอนถูกต้อง” ระดับชั้นความด่วนนั้นมีอยู่ 3 ระดับ... ด่วน ด่วนมาก และ ด่วนที่สุด ในชั้นนี้ที่ผู้ที่ได้รับหนังสือต้องตอบสนองด่วนที่สุด มีความแตกต่างจากหนังสือราชการที่ลงตราประทับคำว่า “ลับ” หรือ “ลับมาก” นี่ต่างหากที่เรียกกันเป็น “เอกสารลับ” ซึ่งถ้าเอกสารรั่วไหล ผู้ที่เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงต่างหากที่ควรจะเป็นผู้แจ้งความ งานนี้จึงทำเอางงๆ กันไปเป็นแถบว่า ผู้มอบอำนาจ “บิ๊กต่อ” เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า
ต่อเนื่องกันถึงการแจ้งความ คนใน สตช. ก็อดไม่ได้ เมาท์กันว่ากองปราบมอบอำนาจกองปราบ แจ้งความที่กองปราบ ดูยังไงๆ อยู่ แน่ๆ คือ “conflict of interest” ขัดแย้งผลประโยชน์มั้ยงานนี้
คิดไปคิดมา สรุปว่า ปรากฏการณ์อาฟเตอร์ช็อกวันนี้ อุปมาเหมือนการศึกสงครามเดือดพล่าน “บิ๊กต่อ” ฝ่ายเปิดวอร์ ขณะที่ “บิ๊กใหม่” ถูกใครที่กินปูนร้อนท้องส่ง “ไอ้โม่ง” ถล่มดิสเครดิต จาก “คำสั่งสะท้านสะเทือนวงการ” ก็ต้องบอกว่า น่าติดตามยิ่งนัก ...ผลจะลงเอยอย่างไร ไม่ธรรมดาแน่นอน
อย่ากะพริบตากันงานนี้



**งานนี้ตรรกวิบัติหรือไม่ ดรามาหนุ่มรีวิวกักตัว ห้องสกปรก-อาหารแถมหนอน-แมลงสาบ โฆษกกลาโหม กลับขอความเห็นใจให้โรงแรมดัง กลัวเสียภาพลักษณ์


จากดรามาที่มีหนุ่มคนหนึ่งเดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกามาถึงไทย เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 64 และได้เข้ากักตัวที่โรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นโรงแรมที่รัฐจัดเตรียมไว้ให้ หลังกักตัวครบ14 วัน ได้โพสต์รีวิวประสบการณ์การกักตัวในครั้งนี้ว่า “เป็น 14 วันที่แย่ที่สุดในชีวิต” โดยเฉพาะวันสุดท้าย สยองมาก
 
“เล่าแบบที่เจอจริงๆ ไม่มีโลกสวย อย่าดูยูทูปเยอะ ก่อนอื่นขอบอกว่าอย่าเรียกว่ากักตัวเลยแบบนี้ เรียกบังคับติดคุกยังจะดูดีกว่า ผมรู้สึก regret ที่ผมตัดสินใจที่ไม่จ่ายค่ากักตัวด้วยเงินของตัวเองตั้งแต่แรก คือ คิดว่ามันคงโอเคแหละ เห็นคนพูดว่ามันดี ยังไงก็อยู่ได้ ไม่ได้คาดหวังว่าแบบมันจะเป็นโรงแรมห้าดาวเลิศหรู แต่คุณเคยผิดหวังทั้งๆ ที่ไม่ได้คาดหวังรึเปล่า”
พลันที่โพสต์นี้เผยแพร่ออกไปโดย มีภาพและคลิปประกอบร่วม 50 ภาพ ชาวโซเชียลฯให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งแชร์และแสดงความเห็นกันล้นหลาม กลายเป็นไวรัล และเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ มีทั้งคนที่เข้าใจและเห็นใจเขา กับฝ่ายที่บอกว่าพักฟรีแล้วยังจะเอาอะไรอีก
 
ถ้ามองอย่างเป็นธรรม ใช้สติคิดตามกับสิ่งที่รีวิวนั้น ก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องของการสะท้อน เพื่อให้โรงแรมปรับปรุง เช่น ห้องพักสกปรก ผ้าคลุมเตียงคล้ายมีเชื้อรา เครื่องนอนกลิ่นเหม็นติดจมูกจนต้องสั่งซื้อน้ำเกลือมาล้างจมูก ขอเปลี่ยนห้อง 3 ครั้ง แต่ก็ยังเหมือนเดิม ยุง และแมลงสาบ เยอะทุกห้อง ถ้าอยากได้ยาฆ่าแมลงมาฉีด ต้องจ่ายเงินเอง
 
ส่วนห้องอื่นๆ หลายห้องก็แย่พอกัน บางห้องมีน้ำหยดจากเพดาน ต้องเอาผ้าขนหนูและแก้วน้ำไปรองไว้ตลอดเวลา
ที่พีคสุดๆ ได้แก่ การรีวิวอาหารที่โรงแรมจัดให้ก็มีปัญหาแทบทุกวัน เช่น อาหารส่วนใหญ่เป็นปลา แต่บางวันปลาไม่สุก เนื้อปลามีกลิ่น มีเกล็ดปลาติดมาเป็นแผ่น บางวันอาหารเค็มมากจนต้องส่งคืน บางวันมีหนอนตัวเป็นๆ ติดมากับผัก
จากการรีวิวได้นำไปสู่การร้องเรียน เขาตัดสินใจโทร.หาสาธารณสุขให้เข้ามาช่วยเหลือ ต่อมาโรงแรมจึงจัดประชุม โดยเชฟรับปากว่าจะปรับปรุงอาหารให้ดีขึ้น แต่เรื่องความสะอาดของห้อง ไม่สามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้ แต่หลังจากนั้น อาหารก็ไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด เช่น ยังคงมีขนหมูติดมาในผัดกะเพรา มีแมลงในแกงมัสมั่น พอร้องเรียนเจ้าหน้าที่บอกว่า มันคือมอดและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
 
ในตอนท้ายๆ หนุ่มคนนี้ ตั้งใจจะปล่อยผ่าน กักตัวจบก็จบ แต่วันสุดท้ายของการกักตัว เขากลับพบขาแมลงสาบในผัดมะกะโรนีอีก ทำให้ไม่สามารถปล่อยผ่านได้ และย้ำว่าที่ต้องออกมาพูด เพราะอยากให้มีการตรวจสอบว่า ทำไมจึงขาดความใส่ใจขนาดนี้ โดยเฉพาะเรื่องอาหารที่ควรให้ความสำคัญกับความสะอาด ทั้งที่รัฐบอกว่า ที่นี่ผ่านมาตรฐานที่จะเป็นสถานที่กักตัวได้
แทนที่จะเป็นการรีวิวเพื่อที่โรงแรมจะนำไปปรับปรุงและแก้ไข ได้ประโยชน์ร่วมกัน สิ่งที่โรงแรมดำเนินการกลับเป็นเรื่องการ แจ้งความ โดยออกแถลงการณ์ว่า มีคนโพสต์ข้อความอันเป็นเท็จในเฟซบุ๊ก และมีคนแชร์จำนวนมาก รวมทั้งมีการให้ข่าวกับสื่อมวลชน มุ่งหวังให้โรงแรมเสื่อมเสียชื่อเสียง
 
โรงแรมได้ไปแจ้งความบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้หยุดการกระทำดังกล่าวแล้ว ไม่อย่างนั้นจะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาให้ถึงที่สุด!!
 
แถลงการณ์ของโรงแรมมีคนไปแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่บอกว่าทางโรงแรมควรยอมรับความจริง แล้วนำไปปรับปรุงแก้ไข ไม่ใช่ฟ้องร้อง เพราะอีกฝ่ายไม่ได้โพสต์ลอยๆ มีทั้งคลิปและภาพประกอบ นอกจากนี้ ยังมีผู้กักตัวรายอื่นมายืนยันว่าเป็นไปตามที่หนุ่มคนนี้รีวิวจริง แต่ก็มีอีกฝ่ายมาให้กำลังใจโรงแรมว่า ไม่ได้แย่อย่างที่คิด

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์
ขณะที่ดรามานี้ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง โฆษกกลาโหม “พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์” ออกโรงมา ขอให้หนุ่มรีวิวกักตัวเห็นใจผู้ประกอบการ ซึ่งสถานที่ที่ใช้ในเป็น State Quarantine ทั้ง 25 แห่ง ล้วนได้รับการดูแลจากกรมควบคุมโรค มีแพทย์และจิตแพทย์ประจำทุกสถานที่ ขณะเดียวกัน ในด้านความปลอดภัย มีทหารทุกเหล่าทัพ รวมทั้งตำรวจดูแลอยู่
ส่วนเรื่องอาหาร ยืนยัน ทุกแห่งมีมาตรฐานตามเกณฑ์ ทั้งคุณภาพ ปริมาณ และสุขอนามัย การรีวิวเป็นสิทธิของผู้รีวิว แต่ก็ขอให้เห็นใจผู้ประกอบการด้วย เพราะในสถานการณ์แบบนี้ ผู้ประกอบการเองก็เสียสละ และการรีวิวจะส่งผลให้ภาพลักษณ์โรงแรมเสียหายต่อการประกอบธุรกิจในระยะยาว
คำพูดของ “โฆษกกลาโหม” เหมือนโหมไฟดรามาให้ลุกโชนขึ้นมาอีก เพราะชาวเน็ตมอง “ตรรกะ” วิธีคิดของโฆษก เรียกว่า เข้าขั้น “วิบัติ” หรือไม่ ทำไมเมื่อสถานที่กักตัวรัฐเป็นผู้ดูแล จึงไม่เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงตามเรื่องที่รีวิว ห้องพัก อาหาร เป็นอย่างที่โพสต์ ที่ร้องเรียนจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็ควรต้องหารือกับโรงแรม แก้ไขปรับปรุง
แน่นอนว่า เรื่องนี้ย่อมกระทบภาพลักษณ์ของโรงแรม ยิ่งต้องทำให้มีมาตรฐาน ไม่ใช่ขอร้องคนรีวิวให้เห็นใจโรงแรม ต้องไม่ลืมว่า โรงแรมทำธุรกิจ และลำบากในช่วงโควิด แต่ก็มีรายได้เข้ามาบ้างในแง่ของการรับเป็นสถานกักตัวดีกว่าปล่อยเป็นโรงแรมร้าง
เมื่อมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนในเชิงธุรกิจ ยิ่งต้องบริการลูกค้าที่มากักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เพื่อเมื่อหมดโควิดกลับมาดำเนินธุรกิจนักท่องเที่ยวก็จะใช้บริการต่อในระยะยาว ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดสภาพตามที่มีคนรีวิว
จริงๆ ดรามา เรื่องนี้ จบได้หากโรงแรมขอโทษ และรับปากว่าจะปรับปรุงตามที่รีวิว การฟ้องร้องยิ่งทำให้บานปลาย เหมือนยิ่งแก้เกี้ยว ยิ่งรวมกับ “ตรรกะวิบัติ” ของทางการ เรื่องก็ยิ่งไปกันใหญ่



** เชลียร์ไม่เข้าเรื่อง “สิระ เจนจาคะ” ทำเหรียญ “หลวงพ่อป้อม” ห้อยคอ ส่องานเข้า ป.ป.ช. เรียกตรวจสอบ ลุงเองก็ไม่ปลื้ม แถมบอกไม่สนับสนุน

 สิระ เจนจาคะ
เรื่องสร้างพร็อปให้ตัวเองเป็นข่าว ต้องยกให้เขาล่ะ “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กทม. พลังประชารัฐ วันก่อนก็ถือแหนบเข้าสภา บอกจะเอาไว้ถอนหงอกผู้นำฝ่ายค้านตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจ แล้วเมื่อวาน (17 ก.พ.) ก็ทำให้ตัวเองเป็นข่าวฮือฮาแต่เช้า สวมสร้อยคอทองคำเส้นโตเข้าสภาพร้อมห้อยล็อกเกตรูป “ลุงป้อม” ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยเรียกชื่อล็อกเก็ตนี้ว่า “หลวงพ่อป้อม” รุ่น “ป่ารอยต่อ” พร้อมอธิบายสรรพคุณเสร็จสรรพว่า สามารถคุ้มครองให้รอดพ้นได้ทุกเรื่อง แล้วจะนำล็อกเกตนี้ไปให้ท่านหัวหน้าพรรค ทำการปลุกเสกด้วย
 
แต่งานนี้ ไม่รู้ว่า “เสี่ยสิระ” เร่งรีบจะเอาหน้ากับลูกพี่เกินไปหรือเปล่า ชื่อของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” บนเหรียญ จึงเขียนผิดไปเป็น “ประวิทย์ วงศ์สุวรรณ”
 
แถมไม่ทันไร “นิวัติไชย เกษมมงคล” รองเลขาฯ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทาง ป.ป.ช.คงต้องตรวจสอบว่าทั้งล็อกเกต และสร้อยคอทองคำนั้น “เสี่ยสิระ” เคยแสดงไว้ในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.ตอนเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.หรือไม่ ถ้าไม่ได้แสดงไว้ในบัญชีทรัพย์สิน ก็ต้องตรวจสอบว่าได้มาก่อนหรือหลังเข้ารับตำแหน่ง ถ้าได้มาทีหลัง ตอนพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.ก็ต้องยื่น
 
ประเด็นนี้ “เสี่ยสิระ” ได้รีบออกมาเคลียร์ โดยบอกว่าสร้อยคอทองคำที่เอามาโชว์นั้นหนัก 5 บาท ได้แสดงไว้ในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.แล้วตอนเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. ส่วนล็อกเกตรูป “หลวงพ่อป้อม” ได้นำเงินสดประมาณ 10,000 บาทไปสั่งทำมา ก็จะแสดงไว้ในรายการทรัพย์สินที่จะยื่น ป.ป.ช.ต่อไป แถมยังหยอดทิ้งท้ายกับนักข่าวว่า “ช่วงนี้ผมมีศัตรูเยอะ ก็อยากจะมีสิ่งที่เป็นสิริมงคลมาสวมใส่ เพื่อปกป้องภัยอันตรายจากสิ่งไม่ดีและคนไม่ดีให้พ้นภัย”
 
แต่ดูเหมือนว่าคนที่ถูก “เสี่ยสิระ” อัญเชิญให้ไปอยู่บนเหรียญเพื่อเป็นสิริมงคลนั้นจะไม่ค่อยปลื้มสักเท่าไหร่ โดย “ลุงป้อม” ได้บอกกับนักข่าวที่สภาเมื่อวานนี้ ว่า ไม่รู้เรื่อง และไม่เคยให้คำแนะนำการจัดทำเหรียญดังกล่าว และ “เสี่ยสิระ” ก็ไม่เคยมาปรึกษา และก็ไม่ได้เห็นด้วยที่จะให้ทำเหรียญอย่างนี้ อย่าเอาตนไปเกี่ยวข้องเลย ไม่สนับสนุน ที่ต้องพูดเพราะเห็นเป็นข่าวใหญ่โต
 
ก็เป็นอันว่า มุกประจบนายของ “สิระ เจนจาคะ” แป้กสนิท นอกจากนายไม่ปลื้ม แล้วยังต้องมีงานชี้แจง ป.ป.ช.เพิ่มเข้ามาอีกด้วย

** “เจี๊ยบ นครปฐม-บิ๊กตู่” ลีลา คารมทันกัน เฉือนมาโดนเชือดกลับ ถูกใจคอการเมือง


การอภิปรายช่วงดึกของคืนวันที่ 16 ก.พ. มีประเด็นดรามาแบบแสบๆ คันๆ เมื่อ “เจี๊ยบ นครปฐม” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปราย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ประเด็นการทุจริตในหน้าที่ 3 ข้อ คือ 1. หนีภาษี 2. ทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. รับผลประโยชน์อื่นใดเกินที่กฎหมายกำหนด และ 3. มีพฤติกรรมปกปิดข้อมูลส่วนตัวเพื่อหนีการตรวจสอบ ...โดยการอภิปรายเน้นหนักไปที่เรื่อง “บิ๊กตู่” อยู่บ้านหลวง ใช้น้ำใช้ไฟฟรี เดือนละหลายหมื่น ถือว่ารับผลประโยชน์อื่นใด เกิน 3,000 บาท พร้อมทิ้งท้ายก่อนจบการอภิปรายว่า ได้สังเกตนายกฯ เมื่อเช้านี้ ท่านซูบเซียว แขนขายาวขึ้น ไม่ทราบว่าไปโหนอะไรมาเยอะแยะหรือเปล่า!!
ด้าน “บิ๊กตู่” ก็ชี้แจงข้อกล่าวหาแบบกระชับๆ ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามมติศาลรัฐธรรมนูญแล้ว พร้อมขอบคุณที่บอกว่าผอมลง แขนขายาวขึ้น ... แต่ท่านก็เตี้ยลงทุกวันๆ เพราะท่านก็หลบหลังม็อบทุกวันเหมือนกัน!!
เพราะที่ผ่านมา “เจี๊ยบ นครปฐม” มักไปปรากฏตัว ร่วมม็อบสามนิ้วอยู่เป็นประจำ และเมื่อบรรดาแกนนำ หรือผู้ร่วมชุมนุม ถูกจับกุม ก็จะรีบไปใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัวออกมา
รุ่งเช้ามีแต่คนพูดถึงการใช้ฝีปาก เชือดเฉือนกันของคู่นี้ โดยเฉพาะในโซเชียลฯ มีผู้เข้ามาคอมเมนต์กันอย่างสนุกสนาน
และที่ “ฮอต” ไม่แพ้กันก็เป็นช่วงที่ “เอ๋” ปารีณา ไกรคุปต์ ประท้วง “เจี๊ยบ นครปฐม” ระหว่างอภิปราย “บิ๊กตู่” ด้วยคำพูดที่ว่า “ไม่่ได้หาคนขับรถอยู่ค่ะ” ก่อนจะกดไมค์ลง


กำลังโหลดความคิดเห็น