นายกฯ แจงใช้ ม.44 กับเหมืองทั่วประเทศ ไม่ได้สั่งปิดเหมืองทองอัครา แต่ให้ปรับปรุงหลังประชาชนร้องเรียนผลกระทบ ยันคดีอยู่ในชั้นอนุญาโตตุลาการ ยังไม่มีข้อยุติ ซัดฝ่ายค้านนำข้อมูลเท็จมาพูดอาจส่งผลกระทบ ย้ำไม่มีต่อรองให้สัมปทานเพิ่มแลกยุติคดี
วันนี้ (17 ก.พ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาซึ่งพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ในประเด็นข้อกล่าวหาการต่อรองที่เตรียมนำที่ดินจำนวน 4 แสนไร่ ให้สัมปทานกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด เจ้าของเหมืองทองอัครา เพื่อแลกกับการถอนฟ้องกรณีรัฐบาลใช้มาตรา 44 สั่งปิดเหมือง โดยเรียกร้องค่าเสียหาย 2.5 หมื่นล้านบาท ว่ากรณีใช้มาตรา 44 ไม่ใช่การปิดเหมือง แต่เป็นเรื่องการต่ออายุสัมปทาน และพิจารณาอาชญาบัตรเหมืองแร่ซึ่งเป็นทุกเหมืองทั่วประเทศ เพื่อให้ปรับปรุงหลังจากพบข้อร้องเรียนประชาชนว่าการทำเหมืองนั้นสร้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2550 อย่างไรก็ดี การใช้มาตรา 44 เพื่อให้ตรวจสอบ สำหรับกรณีที่ดินที่ระบุว่าคือการเสนอประโยชน์นั้น ข้อเท็จจริงไม่ใช่ เพราะยังอยู่ระหว่างการสำรวจก่อนดำเนินการ
“การดำเนินการได้ต้องสำรวจและขออนุญาตก่อน รวมถึงต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนตามหลักการคุ้มครองและเยียวยา ก่อนทำเหมืองในพื้นที่ใดต้องสอบถามความต้องการประชาชนด้วย รวมถึงยึดหลักการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่า ดังนั้น ผมยืนยันว่าต้องรับผิดชอบฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่แกัปัญหาด้วยอำนาจหรือคำสั่ง และไม่มีประเด็นการต่อรองเพื่อผลประโยชน์ สิ่งที่ผมทำคำนึงถึงประโยชน์ประชาชน” นายกรัฐมนตรีชี้แจง
นายกฯ กล่าวต่อว่า สำหรับข้อพิพาทอยู่ในชั้นอนุญาโตตุลาการ ที่ฝ่ายค้านนำข้อมูลมาอภิปรายและนำเสนอนั้น สร้างผลกระทบ เพราะเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ ไม่เป็นความจริง และเป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น ในข้อเท็จจริงยังไม่มีข้อยุติ อย่างไรก็ดี เรื่องดังกล่าวนั้นอยู่ในกระบวนการทางกฎหมายตามอนุญาโตตุลาการแนะนำ และไม่สามารถชี้นำได้