เผาวังเลยหรือ! “ท่านใหม่” ถาม ท่านทำอะไรถึงเจ็บแค้น ขนาดนั้น “อดีตบิ๊ก ศรภ.” จวกแกนนำม็อบ 3 นิ้ว ปลุกมวลชนมาเท เอาตัวรอด เตือนรัฐ ไม่ทำอะไร 3 เดือนพัง “สมบัติ ทองย้อย” อดีตหัวหน้าการ์ดราษฎร แฉ “ไม่มีมือที่ 3”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (14 ก.พ. 64) เฟซบุ๊ก จุลเจิม ยุคล ของ ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” โพสต์ข้อความพร้อม ภาพระบุว่า
“อีหนู ท่านทำอะไรถึงเจ็บแค้น ขนาดต้องเผาวังกันเลย (เข้าข่าย ม.112 นะ) แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ หัดโพสต์อะไรที่มีแก่นสารกันบ้าง อย่ามโนแค่สนุกๆ ระวังจะติดคุก เสียอนาคตไปตลอดชีวิต ตอนนี้ตำรวจ และศาลเขาเอาจริงแล้ว...”
พร้อมระบุด้วยว่า ที่โพสต์เล่นๆ หรือจริงกัน เข้ามาตรา 112 เป็นมาตราหนึ่งในประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความระบุว่า
“วันนี้นั่งดูม็อบทางทีวีแล้วเศร้าใจหลายอย่าง ไม่มีอะไรที่ม็อบจะต่อสู้เพื่อปากท้องประชาชน หรือชาติเลย
แกนนำพยายามครั้งสุดท้ายให้รอดจากกฎหมาย ในสารพัดข้อหา โดยเฉพาะ ม.112 รุ้ง (ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล) ก็จะขึ้นศาลใน 3-4 วันนี้ ใครจะให้เธอประกันตัว
เมื่อดูบทบาทวันนี้ที่เสมือนแก๊งกวนเมือง ที่นัดคนมารวมกัน พอใกล้จะมีเรื่องก็รีบทิ้งม็อบไปเลย เมื่อแกนนำม็อบไม่สามารถควบคุมม็อบได้ พวกการ์ดกับเสื้อแดงก็กลับมาเป็นฝ่ายคุมแกนนำ ม็อบจึงเถื่อนเพิ่มขึ้นตามลำดับ
วันนี้ แกนนำทำความผิดไปอย่างน้อย 4-5 ข้อหา นี่ไม่นับ ม.112 นะ
พอขึ้นศาลก็แหกปากร้องเรื่องประชาธิปไตย ปากบอกมาไล่นายกฯ แต่ม็อบตะโกนแหกปากเป็นระยะๆ ให้เลิก ม.112
ใครผิดใครถูกเห็นได้ชัดเจน
ตำรวจจึงจำเป็นต้องทำหน้าที่ให้เข้มกว่านี้อีก ตอนนี้เสียงเรียกให้เปลี่ยน ผบ.ตร.ก็มากขึ้นทุกทีแล้ว
ส่วนรัฐบาล ที่ปล่อยให้ม็อบเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ศรัทธาของประชาชนลดลงอย่างรวดเร็ว
ใครจะมาลงทุนในไทย ใครจะมีเวลามานั่งทำมาหากินใหม่ๆ แทนงานเก่าที่เลิกกิจการไป จนคนตกงานกันระนาว อยู่ในปัจจุบันนี้
การขาดความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม เริ่มหมดไปทุกที
ถ้าเป็นแบบนี้อีก 3 เดือน รัฐบาลพังแน่ ไม่ได้พังเพราะม็อบ แต่พังจากประชาชนธรรมดานี่เองครับ
เมื่อประชาชนไม่ศรัทธารัฐบาล ก็ยอมให้ม็อบเบ่งบานไปตามสบาย”
ด้าน เฟซบุ๊ก โตโต้ ปิยรัฐ - Piyarat Chongthep โพสต์ถึงกรณีม็อบราษฎรปะทะกับตำรวจ จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ว่า
#สวัสดีประชาชน
เหตุความผิดปกติเมื่อคืน มีความเป็นไปได้ว่ามีขบวนการแทรกแซงเพื่อสร้างสถานการณ์หน้าแนวปะทะ จากการไล่สอบข้อเท็จจริง การ์ดที่ปฏิบัติภารกิจร่วมกันหลายๆ กลุ่ม เมื่อวานนี้ พบข้อเท็จจริงเบื้องต้นคือ
1) ขณะที่แกนนำกำลังเจรจากับตำรวจด้วยดี มีกลุ่มวัยรุ่นหัวรุนแรงไม่ยอมรับการเจรจา มีชายวัยกลางคนพูดจาให้ท้ายและยั่วยุตลอดเวลา และมีเสียงดังคล้ายประทัดลูกบอลตามมา จำนวนหลายลูก การ์ดพยายามห้ามปรามกัน แต่ไม่ยอมฟัง
2) กลุ่มที่ปั่นป่วนมีการแสดงความไม่พอใจ staff ที่เข้าไปห้ามปราม ถึงขั้นจะทำร้ายร่างกายกัน การ์ดที่ทำหน้าที่พยายามหักห้ามใจ อดทนอดกลั้นเพื่อให้งานเดินต่อไปได้
3) ผมได้รับรายงานอย่างต่อเนื่องว่า มีกลุ่มปกป้องสถาบันเคลื่อนไหวเข้าพื้นที่ ตั้งแต่ช่วงเย็น จึงประเมินสถานการณ์ว่าไม่ควรให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ และได้ให้คำแนะนำไปที่แกนนำที่หลังรถโมบายว่า หากมีแผนยังไงต่อจะทำอะไรก็รีบดำเนินการ แต่หากไม่มีก็ขอให้รีบยุติโดยเร็ว
4) แกนนำตัดสินใจประกาศยุติหลังเสร็จกิจกรรมทาสีแดง และตำรวจยอมรับเงื่อนไข ลดการเผชิญหน้า แต่กลับมีกลุ่มคนที่ปั่นป่วนไม่ยอมฟังเหตุผลและได้รับการยุยงจากคนไม่กี่คน ให้อยู่ต่อ ไม่ต้องกลับ และมีการส่งประทัดลูกบอลให้กันอย่างต่อเนื่อง (เบื้องต้นเราทราบตัวบ้างแล้ว)
5) ประชาชนส่วนใหญ่ถอย แต่หลายคนถอยไม่ได้โดยเฉพาะการ์ด ที่อยู่ส่งทุกคนกลับบ้าน เราอยู่กันตลอดแนวจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และหลังรถเครื่องเสียงของแกนนำออกจากพื้นที่ ไปก็ยังมีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งไม่ยอมกลับพร้อมกับขวางประทัดลูกบอลไปแนวกั้นของ ตร. อย่างต่อเนื่อง ผมต้องใช้รถขยายเสียงของ wevo ประกาศเป็นครั้งสุดท้ายให้กลับ จนพวกเขาตอบกลับมาด้วยคำด่าทอ เพราะเกิดความไม่พอใจที่เราขอร้องให้กลับ ไม่ว่าใครไปห้ามหรือขอร้องก็จะถูกด่าทอกลับมา ซึ่งไม่ใส่วิสัยปกติที่เราเจอ
6) ผมจึงต้องตัดสินใจถอนกำลังทั้งหมด รวมถึง ให้wevo และการ์ดอื่นๆ ที่ยังทำหน้าที่อยู่ เอาคนกลับออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งเวลาเดียวกันกับที่มีเหตุ กลุ่มปกป้องสถาบันรุมทำร้ายการ์ดอาสา ที่เฝ้าระวังเหตุบริเวณหน้าแมคฯอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
7) ผมจึงตัดสินใจเดินทางไปที่เกิดเหตุทำร้ายกัน และไม่ทันได้เห็นเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ หน้าศาลฎีกา
ทั้งหมดทั้งมวลจากการสอบถามข้อเท็จจริงทุกคนในที่เกิดเหตุทั้งหมด และจากการที่ผมเฝ้าสังเกตนั้น ผมค่อนข้างแน่ใจว่ามันไม่ปกติแน่ๆ คาดว่า เกิดการแทรกแซงโดยมือที่สาม หรือกลุ่มจัดตั้งอันธพาลที่มาในรูปของมวลชนกลุ่มหนึ่งแฝงอยู่ในม็อบ สอดประสานกับอันธพาลอีกกลุ่มที่รอดักซุ่มทำร้ายประชาชนอยู่ในเส้นทาง
หลังจากนี้ หวังว่า ทางแกนนำทุกๆ กลุ่มจะได้นำบทเรียนครั้งนี้ไปหาทางแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาด หากไม่ดำเนินการก่อนที่จะนำม็อบครั้งต่อไป ปัญหานี้จะไม่จบ”
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น นายสมบัติ ทองย้อย อดีตหัวหน้าการ์ดม็อบราษฎร และการ์ดเสื้อแดง โพสต์เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (13 ก.พ.) โดยระบุถึงเหตุการณ์ตอนหนึ่งซึ่งตน และ นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ “ครูใหญ่” แกนนำกลุ่มม็อบราษฎร เข้าไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ แต่กลับมีกลุ่มม็อบบางส่วนไม่พิจารณาสถานการณ์ โดยตั้งเป้าจะใช้ความรุนแรง จนในที่สุดแม้แต่พวกเดียวกันยังต้องหนีหัวซุกหัวซุน
“ครูใหญ่เข้าไปเจรจา กูก็เข้าไปด้วย ข้างนอกก็เฮิ่มๆๆๆ จะบวก จะบวก ส่วนรถเครื่องเสียงใครไม่รู้แม่งนับถอยหลัง 10-9-8-7-6-5-4-3-2-1 สิ้นเสียง 1 ระเบิด ประทัดยักษ์ ขวดน้ำสารพัดลอยมา ทั้งๆ ที่ กู ครูใหญ่ ยังอยู่ในฝั่งตำรวจ กูนี่มุดหัวซุกหัวซุน กับครูใหญ่ นักข่าว พอหลุดออกมาได้ด่าแม่งโลด เขวี้ยงหาพ่องงมึงหรือ พวกกูยังอยู่ข้างในกันอยู่เลย แล้วถ้าหล่นใส่หัวพวกเดียวกันเอง จะว่ายังไงว๊ะ โมโหเหี้ยๆ แม่งไม่ประสานกันเลย แบบนี้แม่งเละเหี้ยๆ แล้วก็อ่านต่อในรูปที่แปะมานะครับ มีคนเล่าต่อแล้ว เพราะที่เขาเล่านั่นกูก็เห็นแบบนั้นเหมือนกัน อย่าด่ากูนะ กูเล่าแล้วนะ” นายสมบัติ ระบุ พร้อมทั้งแชร์ข้อมูลระบุว่า
“ไม่มีมือที่ 3 ที่ไม่ยอมกลับ การ์ดและมวลชนทั้งนั้น ปลุกปั่นอารมณ์กันมาตลอดวัน วันนี้ไม่ถึงศาลหลักเมือง ไม่ถอย สู้ตาย การ์ดทุกๆ คนทำหน้าที่ตัวเองเป็นตัวปะทะพามวลชนมาอีกนิดเดียวจะถึงปะทะกันรอบแรกปิงปอง ปาระเบิดเบาๆ แกนนำเข้าไปเจรจา ออกมาไม่พูดอะไรเรียกสื่อมาถ่ายรูปรุ้งกับวีโว่เทสี เขียนสีที่แผงเหล็กแถลงข่าวกับสื่อ บนรถประกาศให้แยกย้ายกลับบ้านทุกคนงง การ์ดและมวลชนไม่ยอมกลับอารมณ์ค้าง
แหวนซ้ำเติมสถานการณ์เอาทีมรถพยาบาลมาวิ่งวน เหมือนจะไล่กวาดคนให้ถอย กับเอารถขยายเสียงมาด่ามวลชน ใครไม่กลับไม่ใช่พวก ไม่รับผิดชอบโดนโห่ไล่ ด่ากลับจนต้องวางไมค์ อยากให้ฟังน้ำเสียงแหวนดู ไม่มีจิตวิทยา คุมอารมณ์คนไม่อยู่ ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้น ระเบิด ประทัดสารพัด วีโว่ก็จะโดนกระทืบเอา ไอ้ที่อยู่มันการ์ดทั้งนั้น ต่อไปใครจะทำตัวเป็นเจ้าของม็อบ เที่ยวไล่ด่าไล่ข่มคนมึงจะโดนเอา”
แน่นอน, ประเด็นก็คือ การต่อสู้ของคณะราษฎร 2563 ถือว่า เป็นการ “ทำงานใหญ่” เพราะไม่ว่า เรียกร้อง ให้ “ลุงตู่” และองคาพยพพ้นจากรัฐบาล, ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่นับวันยิ่งเห็นชัดว่า ม็อบใหญ่แต่ตัว แต่ไม่มีคุณภาพในการวางแผน และกลยุทธ์การต่อสู้ที่แยบยล จนสามารถดึงมวลชนเข้าร่วมได้ตามที่ต้องการ ไม่ต่างจากม็อบภายในรั้วมหาวิทยาลัยมากนัก จะต่างก็ตรงที่เคลื่อนขบวนออกมานอกมหาวิทยาลัยเท่านั้น เพราะแกนนำคิดแต่ละอย่างใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง แม้ว่าจะตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างชัดเจนก็ตาม
เช่น พอถูกดำเนินคดี ม.112 ก็ใช้เรื่องยกเลิก ม.112 มาขับเคลื่อน พอเพื่อนถูกจับฝากขังไม่ได้ประกัน ก็ขับเคลื่อนประเด็นปล่อยเพื่อนที่ถูกจับ พูดง่ายๆ นับวันยิ่งสร้างความรำคาญให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการปิดถนน หรือขีดขวางการทำมาหากินในยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง ให้ซ้ำเติมเข้าไปอีก
ที่สำคัญ นับวันแกนนำ การ์ด และมวลชน จะเป็นอิสระต่อกัน และใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง
แกนนำเริ่มคุมม็อบไม่ได้ จึงเป็นได้แค่ผู้ปลุกเร้าให้ม็อบเดือดแล้วประกาศยุติการชุมนุม เพราะรู้ทั้งรู้ว่า ฝืนไปต่อไม่ได้ หมดมุกแค่นั้น ทำให้มวลชนอารมณ์ค้าง จึงปะทะกับตำรวจ อย่างที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ชี้ให้เห็น ซึ่งเรื่องนี้คนที่เชียวชาญการม็อบจะรู้วิธีเอามวลชนให้เย็นลงได้อย่างไร
และสุดท้าย สิ่งที่น่ากลัวหากยังขืนเป็นอยู่อย่างนี้ อาจไม่ใช่แค่การปะทะกับตำรวจ อาจมีปัจจัยอื่นที่ต้องการทำให้เกิดความรุนแรงเพื่อป้ายสีอำนาจรัฐจนกลายเป็นเหตุจลาจลทางการเมือง และทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีที่จับจ้องอยู่แล้ว ฉวยโอกาสเข้ามาแทรกแซงได้โดยง่าย
เหนืออื่นใด ดูเหมือนนับวันยิ่งทำให้เห็นว่าเป็นความต้องการของม็อบด้วยหรือไม่ ถ้าดูจากการเคลื่อนไหวไปยังจุดหวงห้ามสำคัญซึ่งเป็นศูนย์รวมศรัทธาประชาชน อย่างกรณีต้องการห่มผ้าแดงภูเขาทอง เพื่อรำลึกถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ขณะที่ประชาชนใช้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำบุญ จนอาจทำให้เจ้าหน้าที่รัฐไม่ยอมเป็นอันขาด ซึ่งก็เท่ากับว่าพร้อมปะทะนั่นเอง
น่ากลัวว่า ความสูญเสียที่ทุกคนเป็นห่วงจะไม่สามารถช่วยอะไรได้เสียแล้ว แม้รู้ทั้งรู้ว่ามันเกิดขึ้น!?