ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ปิดบัญชี"หลงจู๊สมชาย"ชิงจังหวะ"ตัดจบ"ตอนนี้ดีกว่าไปถูกซักฟอกในสภาฯ??
ปฏิบัติการขุดรากถอนโคน"มาเฟียบ่อนพนัน"โดยชุด "หนุมาน"กองปราบปรามร่วมกับฝ่ายสืบสวน บช.ภ.2 เกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่เมื่อวานนี้ (11 ก.พ.)โดยจนท.ชุดดังกล่าวพร้อมหมายค้น จู่โจมคฤหาสน์หลังหนึ่งเชื่อว่าเป็นบ้านพักของ "สมชาย จุติกิติ์เดช" หรือที่รู้จักกันวงการพนันว่า"หลงจู๊สมชาย" พบเจ้าตัวจึงแจ้งข้อหาเป็นเจ้าของบ่อนพนันหลายแห่งในพื้นที่ภาคตะวันออก รวมทั้ง"บ่อนระยอง" ที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ฟังว่าในการจับกุมหลงจู๊คนดัง "พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข" ผบ.ตร. และ "พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์" ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมเดินทางไปสอบสวนด้วยตัวเอง
ก่อนนี้นับตั้งแต่เกิดโควิดระบาดรอบใหม่ในระยอง โดยการสอบสวนไทม์ไลน์ผู้ป่วยพบว่ามา จากคลัสเตอร์บ่อนของ"หลงจู๊สมชาย" ที่เปิดเย้ยฟ้าท้าดินไม่สน พ.ร.ก.ควบคุมโรค จนประชาชนเดือดร้อน ก่อกระแสสังคมกดดันให้รัฐบาลจัดการปัญหา แต่ที่ผ่านมาผู้มีอำนาจก็ทำได้เพียง "ลูบหน้าปะจมูก" ย้ายนายตำรวจออกจากพื้นที่แล้วปล่อยเวลาให้หลงจู๊ลอยนวลอยู่กว่า 2 เดือน
กระทั่งไม่กี่วันมานี้ ตำรวจเปิดปฏิบัติการ "ชัตดาวน์กาแล็กซี่" เครือข่ายบ่อนพนันออนไลน์ที่ "เสี่ยโป้" โบ้อานนท์ ถูกรวบตัวมา พร้อมๆกับคำถามก็เกิดขึ้นว่า เมื่อไรจะถึงคิวของ"หลงจู๊สมชาย" ที่ว่ากันว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง"เสี่ยโป้" และเป็นเจ้าของเครือข่ายตัวจริง
สำหรับ"สมชาย" หรือ"หลงจู๊สมชาย" นั้นถือว่าเป็นผู้กว้างขวางในวงการธุรกิจสีเทาเบอร์ต้นๆ ของประเทศไทย มีพื้นเพอยู่จ.ระยอง เดิมมีฐานะยากจนแต่ใจถึง เริ่มอาชีพสีเทาเข้มจากคนเดินหวยแล้วขยับมาเป็นเจ้ามือ จากนั้นจึงเริ่มขยายกิจการสีเทาอ่อนเปิดคาราโอเกะ นวดแผนโบราณกระทั่งฝีไม้ลายมือไปเข้าตา "กลุ่มคนสีกากี" ที่มีอำนาจบารมีคุมในพื้นที่ภาค 2 ปลุกปั้นผลักดันให้เข้าสู่วงการบ่อนพนัน
ว่ากันว่า "หลงจู๊สมชาย" ที่ถูกเลือกจากนายตำรวจใหญ่ เพราะความเป็นคนใจถึง กล้าได้กล้าเสีย ฉลาดหลักแหลมในเชิงธุรกิจพนัน ซึ่งต่อมา"หลงจู๊สมชาย" ก็ไม่ทำให้บรรดาขาใหญ่สีกากีผิดหวัง เขาขยายกิจการบ่อนพนันทุกรูปแบบทั้งบ่อนดั้งเดิม ตู้ม้า ตู้สล็อต จนไปสู่เครือข่ายพนันออนไลน์
จากพื้นที่ตะวันออก"หลงจู๊สมชาย" น่าจะเป็นเจ้าของบ่อนคนเดียวในยุคนี้ ที่กล้ารุกเข้ามามีหุ้นกับบ่อนใหญ่ในกทม.รวมทั้งเปิดบ่อนของตัวเองในพื้นที่ครอบคลุมภาคตะวันออกทั้งหมด เป็นที่ถูกอกถูกใจขาใหญ่ในเครื่องแบบที่รอรับ "ส่วย" เดือนๆหนึ่งคิดเป็นมูลค่ามหาศาล
ว่ากันว่า สำหรับรายได้จากเม็ดเงินใต้ดินนั้น นอกจากบ่อนพนัน ตู้ม้า ตู้สล็อตในภาคตะวันออก ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 แล้วขบวนการนอกกฎหมายของ"หลงจู๊สมชาย" ยังแผ่อิทธิพลไปยังพื้นที่อีสานโดยการสนับสนุนจากนายตำรวจระดับสูงในพื้นที่ ร่วมกับนักการเมืองที่มีความใกล้ชิดกับผู้บริหารในรัฐบาล รวมถึงบ่อนพนันออนไลน์ ซึ่งมีเงินทุนหมุนเวียนหลายพันล้านบาท
ปัจจุบัน"หลงจู๊สมชาย"ยังผันตัวไปทำธุรกิจสีขาว มีกิจการอสังหาริมทรัพย์ มูลค่านับพันล้านในจ.ระยองอีกด้วย
ว่ากันว่า ทรัพย์สินเงินทองที่มองเห็น เช่น อาณาบริเวณพื้นที่ดินที่เป็นที่พักอาศัย คฤหาสต์หลังงามที่ตำรวจบุกเข้ารวบตัวเมื่อวาน กว่า 2ไร่ ใจกลางเมือง ไหนจะที่ดินฝั่งตรงข้ามบ้านอีกกว่า 10ไร่ ที่ดินที่เป็นที่ตั้งบ่อนตรง บขส.เก่า ที่ถูกทลายไปก่อนนี้ ที่ดินในมาบตาพุด ที่ประเมินคร่าวๆ ก็มีมูลค่าหลักหลายร้อยล้าน
ทว่า การที่หลงจู๊ถูกระบุชื่อว่าเกี่ยวข้องกับบ่อนระยองมานาน แต่ไม่ถูกจับกุม ขณะที่สังคมกดดันให้รัฐบาลกวาดล้างบ่อนป้องกันโควิด ทำให้ "หลงจู๊สมชาย" มีเวลายักย้ายถ่ายเท หลักฐานต่างๆ ออกไปให้พ้นตัว
จะเห็นว่า ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอื้อฉาว มีตู้ม้า ตู้สล็อต และบ่อนพนันเปิดมอมเมาประชาชนในพื้นที่ จ.นครราชสีมา จ.อุบลราชธานี จ.ขอนแก่น และอื่นๆ กระทั่งมีการบุกค้นโกดัง หรือแฉขบวนการรถสายตรวจ สภ.โชคชัย อำนวยความสะดวกนำรถบรรทุกตู้ม้าไปซุกซ่อน นับว่าเป็นความอัปยศของวงการสีกากีอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ทั้งหมดทั้งมวล เรียกว่า"หลงจู๊สมชาย" เป็นตัวเงินตัวทองของขบวนการส่วยพนันที่ถูกเพาะสร้างกันมาเป็น 10 ปี จากที่เริ่มต้นจากศูนย์ก็กลายเป็น "เจ้าพ่อบ่อน" ฝังรากลึกจนมีอำนาจต่อรองกับ "อำนาจรัฐ"และ รุกคืบเข้าสู่การเมือง ดังที่เห็นจากการส่งลูกชายเข้ามาเป็นทีมงานของนักการเมืองใหญ่ ที่มีโอกาสเข้าร่วมประชุมกรรมาธิการฯ อย่างชนิดที่สังคมจะยังไม่รู้ หากไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด
หลายฝ่ายเชื่อกันว่า หาก"หลงจู๊สมชาย" มิได้รับไฟเขียวหรือการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจคงไม่สามารถทำแบบนี้ได้ เครือข่ายยิ่งนานวันยิ่งทรงพลังเป็น "อำนาจแฝง" ในอำนาจรัฐที่อวดเบ่งบารมีเหนือกฎหมายไม่มีใครกล้าแตะต้อง!!
กรณี"หลงจู๊สมชาย" เส้นใหญ่ไม่ถูกดำเนินคดีสักที ที่ผ่านมาส่งผลพวงต่างๆ แสดงให้เห็นความบกพร่องของรัฐบาลอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องคุมการแพร่ระบาดโควิดอันหละหลวม จำนนต่อส่วยบ่อน และเห็นแก่ผลประโยชน์ของพวกพ้อง รัฐบาลเสื่อมเสียหน้าและศรัทธาของประชาชนในเรื่องโควิดเสื่อมถอยลงไปมาก
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ มีข่าวว่าฝ่ายค้านจะหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาโจมตี "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างแน่นอน
ปฎิบัติการจับ "หลงจู๊สมชาย" ทำไมต้องชิงจังหวะตอนนี้ จึงมีคำตอบด้วยประการฉะนี้ ตัดจบ "หลงจู๊" ซะตรงนี้ เพื่อไม่ให้ถูกแฉกลางสภาฯ ย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ
ส่วนคดีความจะเป็น "มวยล้มต้มคนดู" หรือไม่ เกี้ยเซียะกันหรือไม่ และที่"หลงจู๊" ตะโกนก้องกับนักข่าวว่า "ผมถูกกลั่นแกล้ง ตำรวจงัดข้อหาเก่ามาจับ" และได้รับการประกันตัว รอดนอนคุกในเวลาต่อมา นั้นส่งสัญญาณว่าอะไร ?
งานนี้ก็คงต้องติดตามกันต่อไป.
** เพราะตั้งเข็มทิศชีวิตผิดทาง ใช้ธรรมะผิดที่ "กาละแมร์" จึงต้องรับบทเรียนราคาแพง
หลังจาก"กาละแมร์" พัชรศรี เบญจมาศ พิธีกรชื่อดัง เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สั่งดำเนินคดีกรณีรีวิวสรรพคุณสินค้า "อาหารเสริม" เกินจริง เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค
โดนไป3 ข้อหา คือความผิดฐาน "โฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต"... "โฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ" และความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ "นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ" ทั้ง 3 ข้อหา มีทั้งโทษจำคุก และโทษปรับ ... ซึ่ง "กาละแมร์" รับสารภาพ 2 ข้อหาแรก แต่ขอสู้คดีว่าขอหาที่ 3 ว่าไม่ได้นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยทุจริต โดยหลอกลวง
หลังจากนี้ เรื่องราวในทางคดีจะยุติลงอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรมที่จะดำเนินไป
ส่วนเรื่องราวทางสังคม ในฐานะสื่อสารมวลชน และพิธีกรนั้น... ล่าสุด "กาละแมร์"ได้ออกมายอมรับผิด และขอโทษต่อสังคมในสิ่งที่ได้ทำไป ด้วยความประมาท เลินเล่อ พร้อมประกาศยุติบทบาทการทำหน้าที่พิธีกรในทุกรายการ คือ รายการ "3 แซ่บ" และ รายการ "Take Me Out Thailand"ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยไม่มีกำหนด
สังคมก็คงอนุโมทนา สาธุ กับการที่กาละแมร์ "ได้คิด" และตัดสินใจในครั้งนี้
เพราะโดยพื้นฐานแล้ว "กาละแมร์" แม้จะดูรั้น เป็นคนมีความรู้ จบทางด้านสื่อสารมวลชน ทำงานด้านนี้มากว่า 20 ปี มีภาพลักษณ์ของ "คนใจบุญ" เข้าวัด ปฏิบัติธรรม บริจาคทรัพย์ ทำนุบำรุงศาสนา เป็นที่รักใคร่ของผู้ที่ได้สัมผัสใกล้ชิด คนในสังคมนับหน้าถือตา
แต่แล้ว "กาละแมร์" ก็เปลี่ยนไปเมื่อเข้าสู่เส้นทาง "ธุรกิจอาหารเสริม" ได้เพียงปีกว่าๆ... "ต้นทุน" ที่เคยมีทั้งความรู้ความสามารถ จิตใจใฝ่ธรรมะ การยอมรับทางสังคม ถูกนำมาใช้โดยประมาท ขาดสติ ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เพียงเพื่อ "ธุรกิจ" ความร่ำรวย ...เข้าทำนองเมื่อความโลภบังตา บังใจ ก็ทำได้ทุกอย่าง เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
แม้จะรู้ว่ามีเส้นแบ่งของกฎหมายกันขวางอยู่ แต่ก็พร้อมที่จะล้ำเส้นไป เพราะที่ผ่านมา "กาละแมร์" เคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับโฆษณาสินค้าเกินจริงนี้ไปแล้ว 7 คดี ซึ่งผลก็คือ มีเพียงคำสั่งให้ลบคลิป และโทษปรับเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับ "มูลค่าของธุรกิจ"ที่มหาศาลแล้ว กาละแมร์ พร้อมเดินหน้า ...ความประมาท ขาดสติ ขาดความรับผิดชอบ จึงหนักข้อ ถลำลึกขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งมาถูกดำเนินคดีครั้งล่าสุด พร้อมกับกระแสสังคมที่ออกมา "ประณาม" ...เรียกร้องให้ศาลลงโทษหนักถึงขั้นจำคุก จะได้รู้สำนึก เข็ดหลาบ.. จึงทำให้ "กาละแมร์" เริ่มได้คิดว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นได้สร้างบาดแผลให้กับสังคม และที่สำคัญคือสร้างบาดแผลให้กับตัวเองครั้งใหญ่ด้วย สิ่งที่จะพอเยียวยาได้คือคำ "ขอโทษ"
ก็หวังว่า จากบทเรียนราคาแพงครั้งนี้ คงทำให้ "กาละแมร์" ได้กลับมาทบทวน ตั้ง"เข็มทิศชีวิต" เสียใหม่ หันกลับมาใช้ "ธรรมะ" กล่อมเกลาจิต รักษาใจ ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท รู้ผิดชอบชั่ว ดี ไม่ใช้ "ธรรมะ" เพียงหวังสร้างภาพเพื่อความร่ำรวยอย่างที่ผ่านมา เชื่อว่าสังคมคงให้อภัย