ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“กาละแมร์” โดน 3 ข้อหาหนัก!! รับสารภาพโฆษณาเวอร์วังเป็นเท็จ แต่กลับไว้ลาย ไม่รับข้อหา “หลอกลวง”
หลังจากติ๊ดชึ่ง หลบกระแสสังคม “กาละแมร์” พัชรศรี เบญจมาศ พิธีกรชื่อดัง และเจ้าของ บริษัท พาวเวอร์ชอต จำกัด ก็ดอดเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจรับทราบข้อกล่าวหาที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สั่งดำเนินคดี กรณีรีวิวสินค้าเวอร์วัง ผลลัพธ์มหัศจรรย์ ตั้งแต่ยกกระชับใบหน้า ตาสองชั้น ไปจนถึงรักษาสารพัดโรค ทั้งโควิด มะเร็ง หรือแม้แต่โรคซึมเศร้า
การรีวิวสรรพคุณผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเกินจริงของ “กาละแมร์” ถูกพูดถึงอย่างมาก ขณะที่เจ้าตัวออกโรงแก้ต่างว่า รีวิวไปตามความรู้สึกของผู้ที่ใช้ ไม่คิดว่าจะเป็นความผิด ไม่รู้หลักของการโฆษณา จนกลายเป็นดรามาในโลกออนไลน์ว่า พิธีกรชื่อดัง จบนิเทศศาสตร์ อยู่ในแวดวงสื่อมานาน จะบอกว่าไม่รู้ได้อย่างไร แถมนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของ บริษัท เพาเวอร์ช็อต เพราะเคยโดนมาแล้ว 7 คดี ดูยังไงๆ ก็เข้าข่าย “เกินจริง” แล้วอาจจะพ่วงด้วยข้อหา “หลอกลวง” ผู้บริโภคหรือไม่
ดังนั้น คดีนี้จึงถูกสังคมเฝ้าติดตามว่าจะถูกแจ้งข้อหาอะไรบ้าง ซึ่งก็ปรากฏว่า หลัง “กาละแมร์” เข้าพบตำรวจ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ “กาละแมร์ และบริษัท พาวเวอร์ชอต จำกัด” 3 ข้อหา คือความผิดฐาน “โฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต” เป็นความผิดตาม มาตรา 41 พระราชบัญญัติอาหาร พุทธศักราช 2522 มีอัตราโทษ ปรับไม่เกิน 5,000 บาท
ความผิดฐาน “โฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ” เป็นความผิด ตามมาตรา 40 พระราชบัญญัติอาหาร พุทธศักราช 2522 มีอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ ความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14(1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาอีก 1 ข้อหาด้วย
ฟังว่า ต่อมาพิธีกรสาวรับสารภาพ เรื่องโฆษณาอันเป็นเท็จเกินจริง ข้อหาที่ 1 และ 2 แต่กลับขอต่อสู้คดีว่าไม่ได้นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยทุจริต, โดยหลอกลวง
งานนี้ ผู้รู้ทางกฎหมายได้ออกมาแสดงความเห็น อย่างเพจ “ทนายคลายทุกข์” ระบุว่า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า “กาละแมร์” สู้คดีแบบนี้จะไปรอดหรือไม่ เพราะตัวเองก็ยอมรับแล้วว่า โฆษณาข้อมูลเป็นเท็จ รับสารภาพไปแล้ว แต่กลับต่อสู้ว่าไม่ได้ทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลอกลวงผู้บริโภค ซึ่งหากมองในมุมของพิธีกรที่มั่นใจว่าบริสุทธิ์ ก็สู้ไป แต่ถ้าแพ้ก็โดนลงโทษหนัก
ส่วนใครจะซื้ออาหารเสริมของเธอ เพื่อการบริโภคก็ตัดสินใจกันเอาเองนะ
คดีเก่าๆ 7 คดี ที่โดนปรับ ต้องโดนแจ้งข้อหาเพิ่ม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือไม่ ? ก็น่าคิดเหมือนกัน ฝากพนักงานสอบสวนลองไปศึกษา ข้อกฎหมายดู
คดีนี้อยู่ในความสนใจของเครือข่ายผู้บริโภค เพราะผู้ต้องหาเป็นคนดังมีชื่อเสียง มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของประชาชน ...พร้อมกับปิดท้ายด้วยแฮชแท็ก # สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน รับสารภาพพอประมาณ
ช็อตนี้ดูต่อไปว่า “กาละแมร์” จะยังสวย และรวยด้วยรีวิวเวอร์วัง หลอกผู้คนให้หลงเชื่อ จะลงเอยอย่างไร ...ต้องติดตามกัน.
**ผลสอบบ่อนระยอง ของ “หลงจู๊สมชาย” พบตำรวจ-ฝ่ายปกครอง กว่า 10 รายมีเอี่ยว จับตาหลังได้รับรายงานแล้ว “ลุงตู่” จะจัดการอย่างเด็ดขาดให้สังคมได้เห็น หรือปล่อยให้ซ้ำรอยคดี “บอส กระทิงแดง”
เพราะ “บ่อนระยอง” ของ “หลงจู๊สมชาย” ที่เป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโควิด-19 แบบ “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” รอบใหม่ จนต้องมีการประกาศพื้นที่สีแดง หรือ “พื้นที่ควบคุมสูงสุด” ในภาคตะวันออกทั้ง จ.ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และ ตราด ทำเอาประชาชนเดือดร้อน ทั้งการทำมาหากิน การเดินทาง และยังตกอยู่ในภาวะหวาดผวา กังวลว่าจะติดเชื้อไปด้วย
กระแสสังคมจึงกดดันไปที่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้ง “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ว่าปล่อยปละละเลย... เพราะ “บ่อน” กับ “ส่วย” เป็นของคู่กัน และคนที่รับส่วยจนบ่อนผุดเป็นดอกเห็ด ก็คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง และฝ่ายปกครอง ในพื้นที่
แม้จะมีการสั่งเด้งระดับ “ผู้บังคับการตำรวจภูธร” ในหลายจังหวัด รวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 แต่สังคมก็ยังเห็นว่าเป็นการ “สั่งเด้ง” เพื่อลดกระแส พอเรื่องเงียบ ก็ได้กลับมา หรือย้ายไปมีตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น ...ขณะที่สื่อก็ขุดคุ้ยเบื้องลึกเบื้องหลัง ตีแผ่สายสัมพันธ์ของบ่อนกับส่วย ว่ามีขบวนการโยงใยไปถึงวงในรัฐบาล
“ลุงตู่” จึงต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดเรื่องบ่อนที่เป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขึ้นมา โดยให้ “ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ” อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน แล้ว “รายงานลับ” ความคืบหน้า ตรงต่อ “นายกฯ” ใน 30 วัน ซึ่งก็จะครบกำหนดในวันที่ 12 ก.พ.นี้
ล่าสุด เมื่อวาน (9 ก.พ.) “ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ” ได้แถลงข่าวกับสื่อถึงความคืบหน้า หลังการประชุมคณะกรรมการเป็นครั้งที่ 3 ว่า “บ่อนระยอง” 2 แห่ง ที่ทำการตรวจสอบนั้น เปิดมาแล้วมากกว่า 1 ปี ดำเนินการโดยบุคคลเดียวกัน ทุกหน่วยงานยืนยันตรงกันว่า ชื่อเจ้าของบ่อนชัดเจน ตรงตามที่สังคมได้รับรู้กันไปแล้ว
นอกจากนี้ ยังพบว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องมากกว่า 10 ราย ทั้งตำรวจและฝ่ายปกครอง ซึ่งมีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน มีวงเงินหมุนเวียนมากกว่า 100 ล้านบาท
แน่นอนว่า เจ้าหน้าที่รัฐที่ว่านี้ คงหนีไม่พ้นระดับ “บิ๊ก” ในพื้นที่ ตามที่มีชื่อเปิดเผยออกไปบ้างแล้ว
ที่น่าสนใจคือ “ประธานชาญเชาวน์” บอกว่าแม้จะมีรายชื่อชัดเจน แต่คณะกรรมการยังมีปัญหาในเรื่องการประสานงาน กับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในหลายหน่วย ทั้ง กฎหมายฟอกเงิน, การพนัน, อาญา, ปกครอง อีกทั้งข้อมูล ข้อเท็จจริง จากหน่วยงานต่างๆ ยังขาดประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน ...แต่คณะกรรมการยังไม่หยุด จะต้องบี้ไปให้ถึงตัวการใหญ่ ว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง
ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ รู้ตัวแล้วว่ามีใครบ้าง แต่พอสาวลึกลงไปเพื่อหาหลักฐานมัดตัว ก็ดันไปเจอ “ตอ” เพราะแต่ละคนต่างมียศ มีตำแหน่ง มีเส้นสาย เครือข่าย เลยไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่า “บ่อนการพนัน” เป็นองค์กรอาชญากรรมที่มีผลประโยชน์มหาศาล มีเครือข่ายของผู้มีอิทธิพลทั้งในท้องถิ่น และเครือข่ายระบบราชการในระดับชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง มาร่วมแบ่งปันผลประโยชน์ “แบบฝังรากลึก” การจะทลายเครือข่ายแบบขุดรากถอนโคน เจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะรัฐบาลต้องเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่ทำขึงขังแต่สุดท้ายก็จบแบบ ลูบหน้าปะจมูก หรือรอให้เวลามากลบกระแส
การตั้งคณะกรรมการสอบในลักษณะนี้ จึงไม่ค่อยได้รับความเชื่อมั่นจากสังคม
เหมือนอย่างกรณีที่ “ลุงตู่” ตั้งคณะกรรมการชุด “วิชา มหาคุณ” มาตรวจสอบกรณี “บอส กระทิงแดง” ถึงวันนี้แล้วยังไม่มีผลออกมาเป็นรูปธรรม เมื่อมีคนพูดถึงเรื่องนี้ “ลุงตู่” ก็มักจะบอกว่า... ขอให้ติดตามข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการฟ้องร้องคดีใหม่ไปแล้ว ออกหมายแดงไปแล้ว ประสานงานกับต่างประเทศไปแล้ว เหลือแต่เพียงได้ตัว “บอส” กลับมาเท่านั้นเอง
วันนี้ สิ่งที่สังคมจับตาคือ หลังจากได้รับรายงานลับกรณี “บ่อน” จากคณะกรรมการชุด “ชาญเชาวน์” แล้ว “ตำรวจ-ฝ่ายปกครอง” มีใครบ้างที่ถูกลงโทษ รวมทั้ง “หลงจู๊สมชาย” ด้วย
หวังว่า “ลุงตู่” คงไม่ตอบว่า ส่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการแล้ว ออกหมายแดงไปแล้ว ประสานงานกับต่างประเทศไปแล้ว เหลือแต่เพียงได้ตัว “หลงจู๊” กลับมาเท่านั้นเอง !!