ข่าวปนคน คนปนข่าว
** เข็มทิศชีวิตและธุรกิจ “กาละแมร์” นั้นได้แต่ใดมา? ทั้งหนาและโนแคร์ ก็เพราะมีเงาของ “ตัวแม่” คนนั้นเป็นแบ็กอัพ ??
จากดรามารีวิวสินค้าเว่อร์วัง “เกินจริง” ทั้งยกหน้ากระชับ ทำให้จมูกเข้ารูป ทำให้ตาสองชั้น สร้างภูมิคุ้นกันโควิด รักษามะเร็ง ไปจนถึง โรคซึมเศร้า จนถูกองค์การอาหารและยา (อย.) สั่งระงับโฆษณา หรือโปรโมตผลิตภัณฑ์ “Botera” ของ บริษัท พาวเวอร์ชอต พร้อมกับดำเนินคดีข้อหา “โฆษณาสรรพคุณอาหารอันเป็นเท็จ หลอกลวงให้หลงเชื่อ” ต่อ “กาละแมร์” พัชรศรี เบญจมา พิธีกรดังคนรีวิว และในฐานะเป็นเจ้าของ
สัปดาห์นี้ก็ต้องดูกันต่อว่า คดีจะมีความคืบหน้าอย่างไร เพราะประชาชนให้ความสนใจเฝ้าติดตามเป็นอย่างมาก เพราะ “กาละแมร์” ถือได้ว่าไม่ใช่นักรีวิวสินค้าธรรมดาๆ ทั่วไป ทั้ง ชื่อเสียง และการทำงานในแวดวงสื่อกลับใช้ไปในทางที่จะมา “หลอกลวง” ผู้บริโภคให้หลงเชื่อ ซึ่งแทนที่จะมีความสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ... ความเคลื่อนไหวล่าสุดเจ้าตัวยังเฟซบุ๊กไลฟ์ให้เข้าใจได้ว่า รีวิวสินค้าหลอกลวงคน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ !!
โดยว่า “หากจะผิดเพราะพูดตามความรู้สึก ของมี อย.ทุกอย่าง มีใบ ฆอ.ทุกอย่าง ที่ผิดคือไม่ได้พูดตาม ฆอ.เท่านั้น พูดไม่ได้ (หัวเราะ) เพราะใบ ฆอ. สำหรับโฆษณาอาหารและยา เขาให้พูดแบบนี้ๆ แถมท้ายด้วยเตรียมผุดโปรเจกต์พิสูจน์ให้เห็นกันจะจะ เพราะรู้ว่ามีเจตนาทำของดีจริงๆ ได้ อย.ทุกตัว ถูกต้องทุกอย่าง เพียงแต่ “ผลลัพธ์เวอร์วังอลังการ” ขึ้นอยู่กับเฉพาะตัวบุคคล
ฟัง “กาละแมร์” พูดมาแบบนี้ หลายคนก็สงสัย อะไรทำให้ผู้หญิงคนนี้ ทั้ง “หนาและโนแคร์” กับสังคม เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ เห็นกันชัดๆ ว่า ผลิตภัณฑ์เทวดาของเธอ ไม่มีทางมีผลลัพธ์เวอร์วังอลังการแบบนั้นได้แน่
งานนี้ถ้าจะให้เข้าใจตัวตนกาละแมร์ให้ถ่องแท้ ก็ต้องย้อนดู “เข็มทิศชีวิต” และธุรกิจของกาละแมร์ กันสักนิด ว่าได้แต่ใดมา ?
มีการสืบค้นว่า ในเครือข่ายธุรกิจของพิธีกรสาว 8-9 บริษัท โดยเจาะเฉพาะ “พาวเวอร์ชอต” เจ้าของสินค้าสรรพคุณเวอร์วัง จดทะเบียน เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 62 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 63 มีชื่อ น.ส.ขวัญ เกตุศิริ ถือหุ้นใหญ่สุด 5,500 หุ้น (55%) น.ส.พัชรศรี เบญจมาศ ถือ 3,000 หุ้น (30%) และ น.ส.นุสรา จงชนะนที ถือ 1,500 หุ้น (15%)
น่าสนใจว่า “ขวัญ” ผู้ถือหุ้นใหญ่ นั้นเป็นคนคุ้นเคยสนิทสนมกับกาละแมร์เป็น อินทีเรีย เคยออกแบบตกแต่งภายในบ้านให้ “ครูอ้อย” ฐิตินาถ ณ พัทลุง และ กาละแมร์ ที่โชว์บ้านหรูหราก่อนนี้นั่นเอง ส่วนผู้ถือหุ้นอีกคน “นุสรา” ก็เป็นศิษยานุศิษย์ของ “ครูอ้อย”
เรียกว่า ทั้งสามสัมพันธ์กันด้วยเครือข่ายบุญครูอ้อย ทำบุญด้วยกันบ่อยๆ โดยปลายปีที่แล้วก็เพิ่งร่วมบริจาคกันในโครงการบุญของครูอ้อย ที่ทางภาคอีสาน งานนั้นว่ากันว่า กาละแมร์รายเดียวควักเงินสมทบไป 3.3 ล้าน
เมื่อผองเพื่อน “ศิษย์ครูอ้อย” มาร่วมกันทำธุรกิจ “เป้าหมาย” จึงแน่นอนว่า ได้รับอิทธิพล-ความเชื่อแบบที่ร่ำเรียนมาจากคอร์ส ที่ “ชาวเข็มทิศ” รู้ดีกันว่า ตัวเลขรายได้มีไว้พุ่งชน นั่นคือ การกำหนดเป้ารายได้ไว้สูงๆ ด้วยความเชื่อว่าต้องทำได้ ต้องไปให้ถึง ปลูกฝังความคิดกันไว้ ส่วนวิธีการก็สุดแล้วแต่ใครจะทำอย่างไร?
บังเอิญว่า “กาละแมร์” นั้น มีสไตล์เป็นของตัวเอง คอร์สที่ร่ำเรียนมาอาจจะสอนเป็นพื้นฐาน เธอนำมาประยุกต์ใช้ ทั้งถอดแบบวิธีการ “ไลฟ์โค้ช” และ ภาพลักษณ์เอา “ธรรมนำหน้า” ตามที่ครูวางแนวไว้ แต่เพียงเพราะเพื่อ “ความรวย” ธุรกิจทำรายได้ เธอกลับไม่เลือกวิธีใช้หรือเปล่า จึงเป็นอย่างที่เห็น เกินเลย เกินจริง เข้าข่ายอวดอ้างสรรพคุณสินค้าไปสู่การหลอกลวงผู้บริโภค และสังคม
นี่ก็เป็นคำถามที่คงมีแต่กาละแมร์ เท่านั่นที่จะตอบได้
อย่างไรก็ดี สำหรับธุรกิจด้วยความแนบแน่นกันระหว่างศิษย์ครูเดียวกัน ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างออกมาอีกกระแสหนึ่งว่า “พาวเวอร์ชอต” ที่พุ่งพรวดพราด รายได้ปีเดียว 100 กว่าล้าน จริงๆ แล้ว กาละแมร์ถือหุ้น 30% ที่เหลือ 70% นั่นเป็นนอมินีที่มีคนอยู่หลังฉากอีกที
คนๆ นี้ถือว่าอยู่เบื้องหลังเป็นแบ็กอัพตัวจริงให้ “กามะแมร์” มาโดยตลอด และเป็นผู้วางแผน คนขับเคลื่อนธุรกิจตัวจริง กาละแมร์ นั่นเป็นนักแสดง และ รีวิว แล้วรอส่วนแบ่งรับทรัพย์ตามสัดส่วน
ลือกันหนักว่า ลำพังกาละแมร์ คงไม่มาถึงจุดนี้ได้หากปราศจาก “ตัวแม่” ที่มีเครือข่ายคอยเชื่อม และทุนรอน แบ็กอัพให้
ตัวแม่ที่ว่า จะใช่คนเดียวกับคนที่กาละแมร์ ยึดเป็นเข็มทิศชีวิตหรือไม่ สำนักข่าวลือไม่กล้าฟันธง แต่ก็เชื่อกันว่า ที่ว่ากันว่ามูลเหตุจูงใจทำให้เธอวางมือจากอาขีพไลฟ์โค้ช แล้วหันมาทำธุรกิจแต่ไม่ออกหน้านั้น เพราะพิสูจน์แล้วว่า ธุรกิจอาหารเสริมเพิ่มความรวยได้ดีกว่าเยอะ !
**ชัดยิ่งกว่าชัด ผลโพลคนไทยเกือบทั้ง 100% หนุน “ดีอีเอส” ใช้ ม.112 เอาผิด “ธนาธร”กวาดให้เรียบขบวนการจาบจ้วง “ปิยบุตร” ต้องหยุดฝันเฟื่องได้แล้ว!!
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว คนไทยทั้งประเทศอยากให้มี มาตรา 112 ต่อไป หรืออยากให้ยกเลิกตามที่ขบวนการ “ม็อบ 3 นิ้ว” ปั่นกระแสเรียกร้องมาตลอด เอาชัดๆ เลย หลังจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ “ดีอีเอส” ได้แจ้งความดำเนินคดี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ความผิดอาญา ตามมาตรา 112 กรณีไลฟ์สดทางเฟซบุ๊กบิดเบือนข้อมูลเรื่องวัคซีนโควิด-19 ด้วยเจตนาดิสเครดิตสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อคืนวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา
“ซูเปอร์โพล” ได้จัดทำการสำรวจภาคสนาม สอบถามความเห็นประชาชน ในหัวข้อ “กระทรวงดีอีเอส กับ ม.112” ช่วงวันที่ 21-24 ม.ค. ก็พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 100% คือ ร้อยละ 97.4 เห็นด้วยที่ “ดีอีเอส” แจ้งความดำเนินคดี “ธนาธร” และคนอื่นๆ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีไม่เห็นด้วยอยู่ติ่งเดียว ร้อยละ 2.6 เท่านั้น
ที่น่าสนใจคือ ร้อยละ 93.0 เห็นว่า การบังคับใช้ มาตรา 112 เป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องใช้สิทธิตามกฎหมายบ้านเมือง เพื่อความสงบสุขของประเทศและประชาชน “ไม่ใช่เรื่องการเมือง” หรือถ้าจะขยายความก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เครื่องมือขจัดผู้เห็นต่างทางการเมืองอย่างที่ฝ่าย “ธนาธร” และพวกพยายามกล่าวอ้าง
นอกจากนี้ หลังจากที่ รมว.ดีอีเอส “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายตาม มาตรา 112 แล้ว ก็พบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 97.7 พอใจที่รัฐมนตรีดำเนินการเรื่องนี้ มีแค่ร้อยละ 2.3 ที่ไม่พอใจ และผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 98.4 ก็สนับสนุนรัฐมนตรี “พุทธิพงษ์” ให้จัดการกวาดให้เรียบเสียทีเถอะ พวกขบวนการจาบจ้วงล่วงละเมิด คุกคามในหลวงและทุกพระองค์ในสถาบันหลักของชาติ นั่นเพราะมีประเด็นที่น่าห่วงคือ ร้อยละ 75.0 เห็นว่า มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ที่คนในชาติจะแตกแยกมากขึ้นถ้าปล่อยให้มีการล่วงละเมิด จาบจ้วง คุกคามในหลวง และทุกพระองค์ในสถาบันหลักของชาติ ในขณะที่ ร้อยละ 14.3 ระบุ เป็นไปได้ปานกลาง และ ร้อยละ 10.7 ระบุเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยถึงเป็นไปไม่ได้เลย
ในเรื่องนี้ “ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา” ผอ.ซูเปอร์โพล อธิบายความว่า ผลโพลครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า กระทรวงดีอีเอสโดยรัฐมนตรี “พุทธิพงษ์” กำลังทำตามความคาดหวัง และการสนับสนุนของประชาชนในการออกมาปกป้องรักษาเสาหลักของชาติ เพื่อยับยั้งขบวนการที่ใช้ข้อมูลเท็จหวังทำลายสถาบันหลักของชาติ หรือทำให้สั่นคลอน และสร้างความแตกแยกของคนในชาติ ดังนั้นประชาชนส่วนใหญ่จึงสนับสนุน รมว.ดีอีเอส ให้ใช้กฎหมายคุ้มครองสิทธิทุกคน เป็นกลไกของประเทศเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ใช้สิทธิตามกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม แนวทางนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง และไม่ใช่การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ใครก็ตามที่ถูกล่วงละเมิดสิทธิ ถูกคุกคามย่อมต้องอาศัยกฎหมายหยุดการคุกคามนั้น
ผลโพลครั้งนี้ อยากให้ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” แกนนำคณะก้าวหน้า เพื่อนซี้ของ “ธนาธร” ได้เปิดตาเปิดใจ รับฟังเสียบ้าง และลองใช้สมองตรึกตรองดูว่า การเรียกร้องให้ยกเลิก มาตรา 112 ที่เขาทำมาตั้งแต่สมัยเป็นอาจารย์ สังกัดกลุ่ม “นิติราษฎร์” นั้น มันใช่ความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือไม่ อย่าไปหลงระเริงว่า มีคนจำนวนมากที่ไปร่วมใน “ม็อบ 3 นิ้ว” สนับสนุนการปฏิรูปสถาบันฯ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การแก้ไข หรือยกเลิก มาตรา112 ทั้งที่ในความเป็นจริงจำนวนคนมันก็มีอยู่แค่นั้น
ล่าสุด “ปิยบุตร” ยังไม่หยุดฝัน ให้สัมภาษณ์ “ไทยโพสต์” ฉบับแทบลอยด์ เมื่อวันก่อน แบบหวังลมๆ แล้งๆ ว่า การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ จะเกิดขึ้นได้ โดยที่คนในสังคมต้องเอาด้วย 70-80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตอนนี้ก็ยอมรับว่า ยังไปไม่ถึง
ก็อยากให้ “ปิยบุตร” ได้ตื่นจากฝันเสียทีเถอะ เพราะจากผลโพลมันก็ชัดอยู่แล้ว มีแค่ 2.6% เท่านั้น ที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรา 112