เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าเวลานี้สถานการณ์ในประเทศเมียนมา หลังการก่อการรัฐประหารของกองทัพ นำโดย พล.อ.อาวุโส มิน อ่องหล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของนางอองซาน ซูจี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ยังคงไม่แน่นอนเต็มร้อย บรรยากาศยังอึมครึม ยังมีการชุมนุมประท้วงต่อต้านการรัฐประหารดังกล่าวในเมืองสำคัญ เช่น ย่างกุ้ง และ มัณฑะเลย์ เป็นต้น
โดยเฉพาะบรรยากาศในเมืองย่างกุ้ง ที่เป็นเมืองหลวงเก่า และเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญที่ยังมีการชุมนุมสนับสุนน นางอองซาน ซูจี และพรรคเอ็นแอลดีของเธอ มาอย่างต่อเนื่อง ได้เห็นประชาชนนับพันคนออกมาชุมนุมประท้วงตามท้องถนน รวมไปถึงการแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านด้วยการเคาะหม้อ กาละมัง ส่งเสียงดัง พร้อมทั้งบีบแตรรถ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาสามสี่คืนแล้ว
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีรายงานว่าเกิดเหตุรุนแรง หรือมีการปะทะ มีการสลายการชุมนุมแต่อย่างใด แม้ว่าในเมืองสำคัญดังกล่าว จะมีทหารลาดตระเวน และประจำจุดสำคัญอยู่ทั่วไปก็ตาม
หากพิจารณาจากสถานการณ์เท่าที่เห็นในเวลานี้ ก็ยังถือว่า “ไม่นิ่ง” มีโอกาสพลิกได้ทุกหน้า ไม่ว่าจะเป็นแบบม็อบจุดติด ลุกฮือจนสามารถขับไล่คณะทหารที่ยึดอำนาจออกไปได้ในที่สุด หรือเมื่อยืนระยะนานไป ก็จะฝ่อลงไป หลังจากฝ่ายทหารได้กระชับอำนาจ มีการสั่งปลดและทดแทนตำแหน่งต่างๆ จนสามารถบริหารจัดการได้แล้ว หรือจะออกมาในรูปสุดท้าย คือ สถานการณ์ลุกลามบานปลาย มีการปราบปรามนองเลือดเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในการรัฐประหารของพม่าในอดีต
ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้เท่าๆ กัน ซึ่งต้องเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิด อย่างน้อยอีกสองสามสัปดาห์ เนื่องจากยังมีปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกเป็นตัวเร้าอยู่ตลอดเวลา
ขณะเดียวกัน ที่น่าจับตาไปกว่านั้นก็คือ การชุมนุมประท้วงในเมียนมา หรือพม่า เวลานี้ มันกลับส่งผลเกี่ยวพันมาถึงสถานการณ์บางอย่างในประเทศไทยอีกด้วย โดยเฉพาะกับกลุ่ม “โหนม็อบ” ในฝั่งไทย ซึ่งแน่นอนว่า สำหรับใครที่ติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่องแบบเข้าใจ และรู้ทัน ก็ย่อมมองออกได้ไม่ยากว่า ต้องเป็น “กลุ่มสามนิ้ว” ที่มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากกลุ่มที่เรียกชื่อตัวเองว่า “กลุ่มก้าวหน้า” และเคลื่อนไหวคู่ขนานไปกับพรรคการเมืองเครือข่าย คือ พรรคก้าวไกล
ที่ผ่านมา หลังเกิดการรัฐประหารยึดอำนาจในเมียนมา กลุ่มของพวกเขาที่นำโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ได้เคลื่อนไหวที่หน้าสถานทูตพม่าในกรุงเทพฯ ทันที แน่นอนว่า นี่คือ ความพยายาม “ปลุกกระแสต้านรัฐประหาร” ต้านเผด็จการในไทย ในเบื้องต้นต้องการสื่อไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มาจากการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในอดีต แม้ว่าหากพิจารณาด้วยเงื่อนไขและปฐมเหตุจะแตกต่างกันแบบลิบลับเทียบกันไม่ได้กับข้ออ้างในการรัฐประหารยึดอำนาจของทหารพม่าในเวลานี้ก็ตาม
แต่เอาเป็นว่าเมื่อต้องการ “ปลุกกระแสต่อต้านเผด็จการ” ในประเทศไทยก็ว่ากันไป รวมไปถึงเป้าหมายที่แท้จริงของคนพวกนี้ก็คือ “ล้มเจ้า” ก็ตาม แต่สิ่งที่ต้องพิจารณากัน ก็คือ กระแสของ “พวกสามนิ้วในไทย” นั้น “แผ่ว” จนแทบจับชีพจรไม่ได้แล้ว เพราะยิ่งเคลื่อนไหวชาวบ้านยิ่งเห็น “ธาตุแท้” ของ “บรรดาหัวโจก” ไล่เรียงกันไปตั้งแต่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และครอบครัว มีแต่เรื่องอื้อฉาวทุจริต จากเรื่อง “ต่อต้านเจ้า ไม่เอาอภิสิทธิ์ชน” แต่พี่ น้อง แม่ มีคดีติดสินบนเพื่อแลกกับการเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินเจ้าแบบไม่ชอบ รวมไปถึง “ป่าสงวนฯ” นับพันไร่ ขณะที่พรรคการเมืองในเครือข่ายของตัวเอง ก็พูดอย่างทำอย่าง ปากตะโกน “ศักดินาจงพินาศ” แต่กรอกข้อความพร้อมลงชื่อยื่นขอเครื่องราชฯ หน้าตาเฉย
ขณะที่บรรดาหัวโจกสามนิ้วแต่ละคน ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่นักเรียน นักศึกษา พิสูจน์แล้วว่าความคิดและประสบการณ์ยังด้อย ไร้ความน่าเชื่อถือ สำหรับการนำเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม แต่ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ก็คือ ความพยายามในการกดดันให้ลบล้างความผิดของตัวเอง โดยเฉพาะจากการเคลื่อนไหวให้ “ยกเลิก ม.112”
ดังนั้น หากพิจารณาแบบเปรียบเทียบระหว่างการเคลื่อนไหวสองสถานการณ์ทั้งในไทย และเมียนมา หรือพม่า เวลานี้ หากมองเข้าใจข้างในใจของแต่ละฝ่าย โดยเฉพาะ “ฝั่งไทย” บรรดากลุ่มม็อบสามนิ้วที่นำโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พยายาม “โหน” กำลังลุ้นอย่างหนักว่าจะเกิดการชุมนุมประท้วงในฝั่งพม่าขยายวงกว้างจนเกิดการเปลี่ยนแปลง สร้างกระแสต้านเผด็จการ “ข้ามฝั่ง”
แต่คำถามก็คือ มันคนละสถานการณ์กันหรือเปล่า คนละอารมณ์ และที่สำคัญ อีกไม่กี่วันพรรคก้าวไกล ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กำลังเตรียมซักฟอกรัฐบาลแล้วไม่ใช่หรือ นั่นก็เท่ากับว่า เข้าสู่แนวทางประชาธิปไตยไม่ใช่หรือ !!