“ตำแหน่งนายกฯไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด หากแต่คือการเปลี่ยนประเทศ” เหตุแห่งการนำขบวนต้องหา ม.112 “ดร.สุวินัย” ทำนายอนาคต “ทอน” แม่นราวตาเห็น “หมอวรงค์” เผยข้อมูลลึก สหรัฐฯ-องค์กรต่างประเทศ เตรียมหนุนยกเลิก ม.112 กดดันไทย?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (29 ม.ค. 64) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“ผมแกะรอยความคิดธนาธรผ่านหนังสือ “portrait ธนาธร” (2018) และเขียนบทความ “แกะรอยความคิดและความจริงในตัวธนาธร” ออกมาในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562 (2019) โดยที่ตอนนั้น ธนาธรยังอยู่ในช่วงขาขึ้นสุดๆ ของชีวิต
คำเตือนและคำวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา มักแสลงหูและแสลงใจคนฟังที่กำลัง “ตกหลุมรัก” และ “ฝากความหวังทั้งมวล” ไปที่ตัวธนาธร
#ผมแย่มากเลยใช่ไหมที่ดันเสือกมองเห็นอนาคตอันใกล้อย่างชัดเจน ว่า ธนาธรและพวกจะนำพาพวกเยาวชนปลดแอกที่ศรัทธาเลื่อมใสในตัวธนาธรอย่างหัวปักหัวปรำไปเผชิญหน้ากับอะไร ....การสะสมคดี ม.112 ยังไงเล่า กับอนาคตที่เหลือทั้งชีวิตที่ต้องเวียนว่ายอยู่กับการขึ้นโรงขึ้นศาลและการถูกจำคุก
แกนนำ กปปส. ที่ออกมานำม็อบประท้วง-โค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในช่วงปลายปี 2556-พฤษภา 2557 จนกระทั่งเกิดรัฐประหารโดย คสช. ...สุดท้ายแกนนำ กปปส. ก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล รับผิดชอบต่อผลแห่งการกระทำของตัวเองโดยเต็มใจ อย่างองอาจและกล้าหาญ เพราะทุกคนสามารถตอบตัวเองโดยไม่ละอายใจได้ว่า พวกตนได้ทำไปเพื่ออะไร
แกนนำ กปปส. ทุกคนล้วนทราบแก่ใจดีตั้งแต่ปี 2556-57 แล้วว่าชีวิตที่เหลือของตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
พวกแกนนำเยาวชนปลดแอกที่โดนคดี ม. 112 ...พวกคุณแน่ใจจริงๆหรือว่า พวกคุณสามารถตอบตัวเองได้เต็มปากว่าสิ่งที่พวกคุณได้ทำลงไปในช่วงที่ผ่านมานั้น มันคุ้มค่ากับการอุทิศชีวิตที่เหลือทั้งชีวิตให้จริงๆ
กล่าวสำหรับตัวธนาธรเอง ผ่านไปแค่ไม่ถึง 2 ปีเองหลังจากที่ผมได้เขียนบทความ “แกะรอยความคิดและความจริงในตัวธนาธร” ออกมา ... #ออร่าในตัวของธนาธรหม่นหมองลงอย่างน่าใจหาย
ในฐานะผู้นำขบวนการปฏิวัติ ธนาธรตัดสินใจพลาดแล้วพลาดอีกในแทบทุกเรื่องในฐานะนักยุทธศาสตร์และนักกลยุทธ์ ...ไม่ว่าธนาธรทำอะไรก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า
#ธนาธร ขาดโยนิโสมนสิการในการทบทวนตัวเอง และปรับปรุงตัวเอง ...ขณะที่มนต์ขลังของธนาธรในการดึงดูดมัดใจเหล่าสาวกได้เสื่อมมนต์ขลังไปเรียบร้อยแล้วในปัจจุบันนี้
ลึกๆ #ผมเสียดายพลังของคนรุ่นใหม่ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่กลับพังพินาศไปเพราะการนำแบบสิ้นคิด แบบซ้ายสุดโต่งไร้เดียงสาของเหล่าแกนนำเยาวชนปลดแอก รวมทั้งของตัวธนาธรที่แอบอยู่เบื้องหลังดุจคนขลาด ยามที่ม็อบอยู่ในกระแสสูง แต่กลับออกมาเปิดหน้าชกเอาดื้อๆแบบคนขาดสติตอนที่ม็อบฝ่อไปแล้ว
ในสายตาของผม ...ขบวนการล้มเจ้ารุ่นล่าสุด ที่มี ธนาธร-ปิยบุตร เป็นแกนนำตัวจริงที่คอยแอบชักใยอยู่เบื้องหลัง #มันมาถึงจุดจบแล้วแบบเละตุ้มเป๊ะในความเป็นจริง
แต่ขบวนการความคิดแบบเสรีนิยมของแท้มันยังสามารถเติบโตได้และควรเติบโตให้จงได้หลังจากนี้
... เมื่อเยาวชนคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่สามารถก้าวข้ามธนาธรและปิยบุตรทางความคิดได้แล้วอย่างสมบูรณ์ และเติบใหญ่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงนี้แบบปฏิบัตินิยมได้จริง”
สำหรับบทความที่ สุวินัย ภรณวลัย เคยเขียนเอาไว้ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2562 (2019) เรื่อง “แกะรอยความคิดและความจริงในตัวธนาธร”
เนื้อหาระบุว่า “โดยส่วนตัวผมรู้จัก คุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ คนสัมภาษณ์ธนาธรในหนังสือ “Portrait ธนาธร” มานานร่วมยี่สิบปี (ในฐานะที่ผมเคยถูกเขาสัมภาษณ์ไม่ต่ำกว่าสองครั้งในอดีต) เขาเป็นนักสัมภาษณ์มืออาชีพและมือหนึ่งระดับต้นๆ ที่หาคนทัดเทียมยากมากแม้ในยุคนี้
ผลงานหนังสือ “Portrait ธนาธร” (ตุลาคม 2018) คือ เครื่องพิสูจน์อย่างดี เขาสัมภาษณ์ได้ดียิ่ง และธนาธรก็เต็มใจเปิดเผยความคิดของเขาแทบทุกเรื่องที่โดนซักถามนี่เป็นหนังสือสัมภาษณ์ที่เร้าใจที่สุดเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่านมา
ผมมีหนังสือเล่มนี้หลายเดือนแล้ว ก่อนทราบผลเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 ผมจงใจไม่อ่านมัน แต่เลือกอ่านหนังสือเล่มนี้ ในวันที่ธนาธรกำลังจะเจอบททดสอบของจริง ซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดีว่าวันนั้นต้องมาถึงอย่างแน่นอน แต่ ธนาธรคงคิดไม่ถึงว่า มันจะมาเร็วขนาดนี้
ธนาธรเป็นคนที่ชัดเจนมากในความคิดของตัวเอง เขาบอกว่า
“ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด เป้าหมายสูงสุดคือการเปลี่ยนประเทศ” (หน้า 270)
ธนาธรตระหนักดีว่า สิ่งที่เขาพูด เขาทำ มีคนฟัง มีคนเอาด้วย เห็นด้วยกับเขา (หน้า 272)
ธนาธร มองว่า คุณสมบัติสำคัญของผู้นำประเทศ คือต้องมีเจตจำนงทางการเมืองเป็นหลัก เมืองไทยมีคนเก่งกว่าเขาเยอะแยะไปหมด
แต่มีตัวเขาคนเดียวเท่านั้น ที่มีเจตจำนงทางการเมืองที่ต้องการ “ให้ไทยออกจากวังวนของเผด็จการ วังวนของอำนาจนิยมที่รับใช้ชนชั้นนำให้ได้” (หน้า 273)
เจตจำนงทางการเมืองของธนาธรในวัยสี่สิบตอนนี้ มีความห้าวและอหังการในระดับเดียวกับ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตผู้นำนักศึกษาในวัยก่อนสามสิบหรือในช่วงระหว่างปี 2516-2523 ก็เห็นจะไม่ผิดนัก
ธนาธร ไม่เคยมองว่าตำแหน่งนายกฯ คือ ลิมิตสูงสุดของตัวเขา
ธนาธรเป็นนักผจญภัย เขาต้องการท้าทายลิมิตสูงสุดของตัวเขาเองในทุกเรื่อง
ในฐานะผู้นำทางการเมือง ธนาธรมุ่งเป้าไปที่การทำให้ตัวเขา “มีอำนาจมากพอที่จะไปต่อรอง (กับ)××××” (หน้า 277)
เขายอมรับว่า ในการเคลื่อนไหวสร้างพรรคหาเสียง เขาพูดความจริงได้แค่ครึ่งเดียว ที่เขาพูดออกไปให้สังคมรับรู้ “ไม่เป็นความจริง มันเป็นความจริงแค่ครึ่งเดีบว เราถึงโดนฝ่ายก้าวหน้าด่า” (หน้า 277)
“ถามว่า เรารู้มั้ย รู้
เหี้ย มันก็รู้เหมือนกันหมดแหละ ปัญหาคือใครจะทำยังไงเราคิดว่า วิธีการของเราคือต้องมีอำนาจและต่อรอง (กับ)××××
นี่ต่างหากคือเป้าหมาย ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ เอาทหารออกจากการเมืองไม่ได้หรอก
จัดการเรื่องนี้ไม่ได้ จัดการเรื่องศาลไม่ได้หรอก
จัดการเหี้ยห่าอะไรไม่ได้
ถามว่า เรารู้มั้ย สิ่งที่เราพูดโดยไม่พูดเรื่องนี้ มันไม่จริง มันเป็นไปไม่ได้
ถามว่ารู้มั้ย รู้ แต่มันพูดไม่ได้ ยังมีข้อจำกัด” (หน้า 277)
ตรงนี้แหละ คือ ความจริงอย่างที่สุดในความคิดและตัวตนของธนาธร เพราะเขาคือนักปฏิวัติที่มีเจตจำนงแรงกล้าที่ต้องการสานต่อภารกิจการปฏิวัติ 2475 ให้สมบูรณ์
จึงไม่แปลก ที่เมื่อธนาธรเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ปิยบุตร จึงต้องเป็นเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เพราะมีอุดมการณ์ปฏิวัติ 2475 เหมือนกัน
ธนาธร คือ ผู้นำทางการเมืองคนเดียวในประทศนี้ตอนนี้ ที่ขีดเส้นแบ่งชัดเจนให้ประชาชนต้องตัดสินใจเลือกข้างว่าจะเลือกอยู่ฝั่งเดียวกับเขาแล้วช่วยกันผลักดันการปฏิวัติ 2475 ให้สำเร็จต่อไปหรือไม่
ผม (สุวินัย) ไม่ใช่คนโลกสวยและไร้เดียงสาทางการเมือง ผมตระหนักดีว่า อะไรจะตามมา ถ้าธนาธรมีอำนาจและต่อรองกับ ×××× เพื่อบรรลุเจตจำนงทางการเมืองของเขา...”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานยุทธศาสตร์กลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความ ว่า
“ไม่แปลกใจที่ ช่วงนี้ นายธนาธร นายปิยบุตร เครือข่ายสามนิ้ว ออกมาเร่งเครื่อง การกระทำที่ยั่วยุ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน รวมทั้ง มาตรา 112
สอดคล้องกับพรรคก้าวไกล ที่พยายามสร้างกระแสไปที่เบื้องสูง ทั้งเรื่องญัตติไม่ไว้วางใจ ที่พยายามพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งการเสนอแก้ไขกฎหมายมาตรา 112
ผมได้รับข้อมูลเชิงลึก ในวงการทูตตะวันตก ว่า อีกไม่นาน ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของอเมริกา รวมทั้งองค์กรต่างประเทศ จะออกแนวนโยบาย (statement of policy) ที่เกี่ยวกับมาตรา 112 ในประเทศไทย เพื่อกดดันประเทศไทยเรา
แม้เราพยายามที่จะชี้แจงว่า มาตรา112 มันคือกฎหมายที่ไม่มีอะไร ซับซ้อน เป้าหมายเพื่อคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ในเรื่อง การดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้าย กลุ่มที่เขากระทำ ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ ในการแสดงออก
เราไม่เคยจำกัดสิทธิ เสรีภาพ แต่สิ่งที่คนเหล่านี้กระทำ คือ การด่า หยาบคาย บิดเบือนให้ร้าย ยั่วยุ คนไทยเองก็ไม่ยอมรับ จนเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินคดีคนเหล่านี้ ซึ่งคนพวกนี้ก็พยายามสื่อให้นานาชาติเข้าใจว่า ถูกจำกัดสิทธิ เสรีภาพ หรือละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งตรงกันข้ามกับการกระทำจริง
ผมประเมินดูแล้ว ประเทศอเมริกา และตะวันตก เขามีธงของเขา เรื่องที่จะแทรกแซงประเทศเราเรื่อง 112 จึงไม่แปลกที่ คนกลุ่มที่ว่านี้ กำลังเร่งเครื่องเรื่องมาตรา 112 ให้ร้อนแรง หวังให้นานาชาติกดดันประเทศของเรา
สิ่งที่ดีที่สุดของพวกเรา คือ คนไทยเราต้องรัก และสามัคคี ร่วมกันแสดงออก อย่างมั่นคงว่า สังคมไทย วิถีไทยเรา ต้องถูกกำหนดโดยคนไทย ไม่ใช่ต่างชาติมากำหนด และผมขู่กลับไปว่า ถ้ารัฐบาลท่านไม่เข้าใจและมาทำแบบนี้ เจอคนไทยต่อต้านกลับแน่นอน.”
แน่นอน, มีสองประเด็นที่นับว่าน่าคิด หนึ่งคือ เป้าหมายสูงสุดของ “ธนาธร-ปิยบุตร” ต้องการสานต่อเจตนารมณ์การปฏิวัติ 2475 ซึ่งก็คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นอย่างน้อย ส่วนเปลี่ยนเป็นอย่างไรนั้น อาจหมายรวมถึง การได้อำนาจต่อรองกับ... อย่างที่พูดเอาไว้
เรื่องนี้ เห็นแนวความคิดแล้ว ขนลุกเหมือนกัน ส่วนจะเป็นจริงหรือไม่ กี่ปีกี่ชาติ คนไทยก็คงได้เห็น
อีกประเด็น คือ การแทรกแซงจากต่างประเทศ ที่มีการพูดถึง และพยายามที่จะอ้างข้อมูลเชิงลึกมาตลอด และ “หมอวรงค์” ก็มีข้อมูลเชิงลึกจากทูตประเทศตะวันตกมาเปิดเผยอีก จริงหรือไม่ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
แต่อย่างน้อย ก็มีชุดข้อมูลให้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้ระแวงระวังเอาไว้ด้วย เพื่อที่จะเตรียมการรับมือเอาไว้ล่วงหน้า เพราะเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเช่นกัน เป้าหมายสูงสุด อาจนำไปสู่การต่อรอง เพื่อที่จะใช้ไทยเป็นเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ อย่างที่มีการวิเคราะห์กันอยู่ก่อนแล้ว ก็เป็นได้
เหนืออื่นใด คงน่าเศร้าใจไม่น้อย หากมีคนไทยยอมเป็นทาสรับใช้ต่างชาติ ให้เขามีโอกาสสร้างอำนาจต่อรองกับไทย เพียงแค่ต้องการให้หนุนช่วยเปลี่ยนแปลงประเทศ เพื่อผลประโยชน์ของพวกตนเท่านั้น จริง ไม่จริง ใครทำ ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว