เมืองไทย 360 องศา
ไม่รู้ว่าการแถลงของ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เมื่อวันก่อน ที่ระบุว่า พรรคฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้งคณะ ในสมัยประชุมนี้ คือ ราวปลายเดือนมกราคม โดยจะขออภิปรายเป็นเวลา 7 วัน จนสร้างความตกตะลึงพรึงเพริดกันไปตามๆ กัน
ที่ต้องบอกว่ามีความตะลึง เนื่องจากคาดไม่ถึงว่า “จะกล้าบอกผ่าน” ได้มากถึงขนาดนี้ เพราะที่ผ่านมาเกือบทุกครั้ง การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะใช้เวลาไม่เกินสามวัน หรือเต็มที่ก็ราวๆ 4 วัน อาจจะเคยมีบ้างหากย้อนดูประวัติศาสตร์การเมืองไทยไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน อภิปรายรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ วงศ์นาวาสวัสดิ์ เมื่อปี 2490 ตอนนั้นตามประวัติบอกว่า ใช้เวลาถึง 8 วัน 7 คืนเลยทีเดียว
ในตอนนั้นถือว่าเป็นการอภิปรายที่เข้มข้น มีการซักฟอกและตอบชี้แจงกันได้อย่างน่าสนใจทั้งสองฝ่าย แม้ว่าในที่สุดแล้วหลังจากนั้นก็เกิดการรัฐประหารตามมาอีกก็ตาม
เมื่อวกกลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน ที่พรรคฝ่ายค้านนำโดยพรรคเพื่อไทย มีหัวหน้าพรรคเป็นผู้นำฝ่ายค้านที่ชื่อ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ และเลขาธิการพรรค คือ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ดังกล่าว ที่ต้องบอกว่าสถานการณ์ภายในพรรคไม่ได้สู้ดีนัก เกิดปัญหาความแตกแยกภายใน มีสมาชิกพรรคคนสำคัญทยอยลาออกไปดังที่ทราบกันดี ขณะที่คนที่ยังเหลืออยู่ ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีลาออกตามไปอีกกี่คน เพราะเชื่อว่าหลายคนกำลังรอจังหวะ “ชิ่ง” เนื่องจากหากออกไปตอนนี้ สำหรับคนที่เป็น ส.ส.ก็จะพ้นสภาพทันที ซึ่งประเภทนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย
นอกเหนือจากนี้ ยังมี ส.ส.อีกประเภทหนึ่งที่มั่นใจได้ว่า “ย้ายพรรค” ไปนานแล้ว สังเกตได้จากการ “โหวตสวน” มติพรรคหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาก็มีให้เห็นหลายคน
แม้ว่าตามสถานการณ์ที่เป็นจริงแล้ว ยังเชื่อว่า ไม่มีทางที่ฝ่ายค้านจะได้เวลาซักฟอกรัฐบาลได้มากถึง 7 วัน อย่างมากน่าจะได้ 2-3 วันเท่านั้น ที่เหลือก็เป็นเพียงแค่การ “บอกผ่าน” เหมือนกับการเสนอ “ให้ต่อรอง” เท่านั้น
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ฝ่ายค้าน คือ พรรคเพื่อไทยอ้างว่าจะนำมาใช้ในการซักฟอกรัฐบาล ตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงมา จะเน้นในเรื่องการทุจริต และความล้มเหลวในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งเหตุการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวเนื่องกับการระบาดของเชื้อโควิด-19 ในรอบใหม่ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับเรื่อง “บ่อนการพนัน” เป็นต้น
แน่นอนว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน ถือว่าเป็นสิทธิ์โดยชอบตามระบอบประชาธิปไตย และการที่พรรคเพื่อไทยใช้สิทธิ์ดังกล่าวนี้ สำหรับการยื่นญัตติเพื่อตรวจสอบรัฐบาล แต่ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบหลายอย่างตามสถานการณ์ความเป็นจริงในปัจจุบัน หลายเรื่องจึงดู “เวอร์” เกินจริงไปมาก และกลายเป็นว่าในหลายเรื่องพรรคเพื่อไทยนั่นแหละ ที่อาจจะขาดความชอบธรรมในการอภิปรายคนอื่นด้วยซ้ำไป
เพราะหากกล่าวกันถึงเรื่อง “ทุจริตคอร์รัปชัน” แล้ว เชื่อว่า ชาวบ้านหลายคนยังมีภาพจำติดตาในเรื่องทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่นายกรัฐมนตรีสังกัดพรรคตัวเอง รวมไปถึงรัฐมนตรี ต้องหลบหนีความผิดไปต่างประเทศ และรัฐมนตรีต้องติดคุกอยู่ในเวลานี้ ซึ่งเป็นการทุจริตครั้งมโหฬารที่สุด และยังต้องชดใช้หนี้ไม่จบไม่สิ้น หลายแสนล้านบาท
แม้ว่าจะเข้าใจได้ตั้งแต่แรกแล้วการเสนอให้มีเวลาซักฟอกรัฐบาลถึง 7 วัน เป็นการบอกผ่าน เพราะเมื่อพิจารณาตามความเป็นจริง จากข้อมูลและความร้ายแรงในเรื่องความผิดพลาดของฝ่ายรัฐบาล ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงไปแล้ว ก็ยังถือว่าไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์โรคติดเชื้อจากโควิด แต่ที่เป็นเหตุบานปลายก็มาจากเรื่องบ่อนการพนัน การค้ามนุษย์ จากพวกแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ในเรื่อง “ส่วย” ซึ่งแน่นอนว่าเกิดมานานแล้ว ทุกรัฐบาล ในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็มีมากมาย
เอาเป็นว่าการยื่นญัตติซักฟอกของฝ่ายค้านถือว่าเป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ว่าอย่าให้เว่อร์จนเกินพอดี อีกทั้งต้องพิจารณาดูศักยภาพและแบ็กกราวด์ของตัวเองด้วยว่า มีเรื่องอื้อฉาวแบบที่กล่าวหาคนอื่นหรือไม่ และดีไม่ดีหากถูกย้อนศรกลับไปบ้างว่าขอเวลาแค่ 7 วันน้อยไป เกิดฝ่ายรัฐบาลให้เวลาอภิปรายเพิ่มเป็น 3 สัปดาห์ไปเลย คิดว่าจะมีข้อมูล และมีคนที่พอจะอภิปรายให้คนฟังรู้เรื่องอยู่สักกี่คน เพราะเท่าที่เห็นในช่วงที่ผ่านมาถือว่าผลงานไม่เข้าตาบทบาทถึงได้ถดถอย เป็นรองพรรคเกิดใหม่อย่างก้าวไกลมาตลอด !!