ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ถามใจลุงตู่ โควิดระบาดรอบนี้ “บิ๊กป๊อก” มหาดไทย-“เสี่ยเฮ้ง” แรงงาน ควรต้องรับผิดชอบเต็มๆ มั้ย??
ช็อกไปตามๆ กัน กับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 สมุทรสาคร ที่จากค้นหาเชิงรุกเชื่อมโยง “ตลาดกลางกุ้ง” จุดเริ่มต้นมาถึงเมื่อวาน (20 ธ.ค.) เจอแล้ว 689 ราย และยังมีลามไปที่ กรุงเทพฯ 2 ราย สมุทรปราการ 3 ราย นครปฐม 2 ราย ราชบุรี สุพรรณบุรี จังหวัดละ 1 ราย
การพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากนี้ ทำให้พ่อเมืองสมุทรสาคร ต้องประกาศ “ล็อกดาวน์” เมือง และ ทำให้เกิดอาการหนาวกันเป็นแถบ ด้วยเกรงว่าจะเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ “ระบาดรอบสอง” ซึ่งผลกระทบที่จะตามมายิ่งจะไปซ้ำเติมวิกฤตที่เป็นอยู่ให้ลากยาวออกไป
น่าเศร้าใจที่บุคลากร-เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และ คนส่วนใหญ่ของสังคม สู้อุตส่าห์ต่อสู้อย่างอดทนมาเป็นแรมปี สถานการณ์กำลังดีขึ้นตามลำดับติดอันดับต้นๆ ที่เป็นประเทศเอาโควิดอยู่ อยู่แล้วเชียว ทั้งการเยียวยาและเศรษฐกิจกำลังจะกลับมาในทิศทางที่ดี ก็อาจจะต้องหวนคืนมา “นับหนึ่ง” กันใหม่
บรรยากาศปีใหม่ เคานต์ดาวน์ ปีนี้ก็คงจะกร่อยๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ว่ากันว่า ในกลุ่มผู้ที่พบว่าติดเชื้อโควิดของสมุทรสาคร ส่วนใหญ่เป็น “แรงงานต่างด้าว” คำถามก็เลยย้อนไปถึง เคส “เชียงราย” ที่ปัญหาจะมาโดยคล้ายๆ กันหรือไม่ ? ...นั่นคือ แรงงานเหล่านี้มาจากการลักลอบเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย มาตาม “ช่องทางธรรมชาติ” หรือลักลอบเข้ามาโดยที่ไม่ผ่านการคัดกรอง
แม้จะเป็นงานยากที่จะบอกว่า เคสสมุทรสาคร รายแรกๆ เป็นมาอย่างไร แต่ก็มีเสียงเรียกร้องว่า สิ่งที่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ต้องกระทำโดยเร่งด่วนคือ สืบสวนค้นหาต้นตอผู้ที่นำเชื้อมาเผยแพร่ให้ได้ ว่าเป็นใคร ?
ถ้าเป็นแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิด กม. เข้ามาทางไหน มีบุคคลใดมีส่วนในการนำเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้ารัฐ มีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ ?
มีข้อมูลลึกๆ ที่บ่งบอกว่า กระบวนการหากินกับแรงงานต่างด้าวนั้น เป็นผลประโยชน์ที่มหาศาล มีคนได้ประโยชน์จากการค้ามนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย และ ความเป็นความตายของคนในสังคม
“ดำรง พุฒตาล” ผู้ก่อตั้งนิตยสารดังในอดีต “คู่สร้างคู่สม” ได้เปิดเผยข้อความผ่านเฟซบุ๊ก คู่สร้างคู่สม (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า “ผมมีคนที่รู้จักและสนิทสนมกันมาก อยู่ในจังหวัดสมุทรสาครอยู่หลายคน เป็นเพื่อนที่เรียนหนังสือมาด้วยกันก็มี เป็นอดีต ส.ส.ก็มี ที่สำคัญ เป็นนักธุรกิจใหญ่ทางด้านประมงระดับประเทศ ซึ่งมักจะได้พูดคุยกันในเรื่องการค้าอาหารทะเลอยู่เสมอๆ เพื่อนพ่อค้าคนนี้ ได้บอกมาด้วยความเจ็บปวด ว่า วิกฤตโควิดในสมุทรสาครคราวนี้ เขาเสียหายเป็น 100 ล้านบาท!
เชื้อโควิด-19 ได้บุกเข้ามาในสมุทรสาคร นำเชื้อมาโดยตรงจากประเทศเมียนมา หรือ พม่า โดยคนพม่า ชาวสมุทรสาคร บางระดับรู้ดีว่าพวกหม่องที่นำเชื้อมา ผ่านเส้นทางตามช่องทาง “ธรรมชาติ” หัวละ 10,000 บาท บริการจากช่องทางธรรมชาติส่งให้ถึงที่สมุทรสาครเลย ผมคิดว่าราคา 10,000 บาทนี้ ไม่แพงเลย เพราะจากชายแดนพม่ากว่าจะถึงสมุทรสาครนั้น จะต้องผ่าน “ด่าน” ไม่รู้กี่ด่าน เพื่อนบอกว่าก่อนมีโควิดราคาถูกกว่านี้”
ว่ากันว่า จากการล็อกดาวน์ เมื่อครั้งเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ธุรกิจพัง โรงงานปิด พอมาตรการผ่อนคลาย และ แรงงานต่างด้าวอยู่ประเทศตัวเองไม่ได้จะอดตายมากกว่าโรคระบาด ประจวบเหมาะกับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้แรงงานต่างด้าวก็ต้องการจึงเกิดมีการนำแรงงานเข่ามา หรือ ลักลอบ เข้ามาทำงานโดยไม่ผ่านทางช่องทางมาตรการการกักตัว ทำให้มีแรงงานต่างด้าวที่ไม่ถูกต้องทางกฎหมายทะลักเข้ามาไม่รู้เทาไหร่ คิดเป็นผลประโยชน์ของกระบวนการค้ามนุษย์ที่รับๆ กัน รอบนี้รวยเละ !!!
ปัญหาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าประเทศอย่างผิด กม. จนทำให้สถานการณ์โควิด-19 รุนแรงขึ้นครั้งนี้ “ลุงตู่” ต้องไม่มองว่า เป็นเรื่องเอาอยู่ หรือเอาไม่อยู่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากลุกลามกลายเป็น “ล็อกดาวน์” ได้อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ กันทั่วไป ค่าความเสียหาย ผลกระทบรุนแรงครั้งนี้จะใหญ่หลวงชนิดที่รัฐบาลก็รับผิดชอบไม่ไหวแน่
ไม่ว่าจะอย่างไร จะต้องสอบสวนหาความจริงออกมาให้สังคม กรณีการลักลอบเข้าประเทศของแรงงานต่างด้าว ทั้งจากกรณีจังหวัดเชียงราย และจังหวัดสมุทรสาคร ใครผิด ใครเกี่ยวข้อง จัดให้เป็นเยี่ยงอย่าง
งานนี้ ต้องทำให้เข็ดหลาบ รัฐบาลควรประกาศให้ชัดเจนว่า ต่อจากนี้จะไม่มีแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายได้อีก ทำได้หรือไม่ ?
เอาจริงๆ โควิดรอบนี้ สะท้อนให้เห็นว่า เป็นความบกพร่องในหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย ที่มี “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และกระทรวงแรงานของ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.กระทรวงแรงงาน และ ฝ่ายความมั่นคงซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการคัดกรองต่างด้าวเข้าสู่ประเทศตั้งแต่แรก หละหลวม ปล่อยให้ขบวนการค้ามนุษย์ ทำความเดือดร้อนให้สังคมอย่างสาหัสสากรรจ์
ถามใจ “ลุงตู่” กล้าพอจะแตะต้องสองคนนี้มั้ย ?? “ลุงป๊อก” ก็พี่น้อง 3 ป. ที่รักกันดูดดื่มอยู่ในตำแหน่ง มท.1 มาตั้งแต่ คสช. ยาวมาถึงวันนี้ ไม่ว่าจะปัญหาไหนๆ ก็อยู่ยั้งยืนยงมาตลอด เรียกว่า “ลอยตัว” เหนือปัญหาได้ทุกสถานการณ์ ขณะที่ “เสี่ยเฮ้ง” ก็ขาใหญ่ในพลังประชารัฐ เป็น “หลานรักของลุง” ทำผลงานเข้าตาก็ตอนดันลุงขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ได้ดิบได้ดี ขึ้นมาเป็นรมว.แรงงาน แต่ก็หย่อนยานอย่างที่เห็นๆ
งานนี้ก็ต้องรอดูใจกันไปว่าลุงจะทำอย่างไร แต่ถ้าถามประชาชน ที่เดือดร้อนไม่มีอะไรจะเสียในชีวิตอีกแล้วกับผลกระทบโควิดที่เกิดขึ้น เชื่อได้ว่า จะได้คำตอบที่เป็นเสียงเดียวกันว่า รับไม่ไหว.. รับไม่ได้แล้วจริงๆ
**สงครามตัวแทน!? จ่อล้มสรรหา “กสทช.” ชุดใหม่อีกคำรบ จับตา “ลุงผู้น้อง-ลุงผู้พี่” ระเบิดศึกชิง “อาณาจักรสายลม” เหตุเด็กในสังกัด “ลุงผู้น้อง” ส่อร่วงตั้งรอบคุณสมบัติ จนต้องหาเรื่องคว่ำทั้งกระบิ ส่ง “กสทช.รักษาการ” สร้างประวัติศาสตร์อยู่โยง 10 ปีเต็ม
ทำท่าจะไม่ได้ผุดได้เกิดอีกแล้ว คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ชุดใหม่ ที่ ครม. ของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งกดปุ่มให้เริ่มกระบวนการสรรหาไปเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
ล่าสุด กก.สรรหา อยู่ระหว่างการพิจารณาคุณสมบัติผู้ที่เข้าสมัครเข้ารับการสรรหาทั้ง 80 คน กะเกณฑ์กันเบื้องต้นเห็นหน้าค่าตา 14 คนรอบสุดท้ายช่วงต้นปี 64 ก่อนตัดตัวเหลือ “7 อรหันต์” มานั่งคุม “อาณาจักรสายลม” ที่ทำการ กสทช. ที่คุมผลประโยชน์โทรคมนาคม-โทรทัศน์วิทยุ มูลค่านับแสนๆ ล้านบาท
แต่กลับมีข่าวสะพัดว่า กระบวนการสรรหาที่เดินๆ กันอยู่ อาจต้องสะดุดหยุดลง “อีกครั้ง” โดยมีข่าวหนาหู แซ่ดทำเนียบฯ ว่า “ผู้มีอำนาจ” สั่งการให้ดันวาระชะลอการสรรหา กสทช.ชุดใหม่ เข้าสู่ที่ประชุม ครม. ก่อนสิ้นปีนี้ ซึ่งก็เหลือการประชุมแค่ 2 งวด คือ อังคาร 22 ธ.ค. และอังคาร 29 ธ.ค.นี้
เหตุผลที่ตระเตรียมไว้ไม่ลึกซึ้งก็ด้วยมี “โลกคู่ขนาน” ที่ตอนนี้กำลังทำคลอด ร่าง พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่...) พ.ศ... หรือ “พ.ร.บ. กสทช.ฉบับแก้ไข” ที่ผ่านสภาผู้แทนฯ มาแล้ว และเพิ่งเข้าชั้นวุฒิสภารับร่าง “วาระแรก” ไปเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา
ท่ามกลางข้อท้วงติงดังสนั่น “สภาสูง” ที่เห็นว่า หากร่าง พ.ร.บ.กสทช. ที่กำลังทำอยู่แล้วเสร็จ ก็จะไปกระทบสิทธิ กสทช. ที่กำลังสรรหาอยู่ เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.กสทช. กำหนดให้มีการสรรหา กสทช. ชุดใหม่ตามกฎหมายใหม่ ภายใน 15 วันอาจทำให้ กสทช.ชุดใหม่ ทำงานได้เพียง 6 เตือนต้องสรรหาใหม่
ด้วยมีข้อกำหนดให้ “สภาสูง” พิจารณากฎหมายให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับจากวันที่ 4 ธ.ค.ที่สภาฯ ส่งร่างกฎหมายมาให้ ก็เลยมา “เข้าข้อ” ฝั่ง “ผู้มีอำนาจ” ที่คิดจะล้มการสรรหา กสทช.อยู่แล้ว
แต่บอกเลย “ข้ออ้าง” ที่ว่าถือว่า “ฟังไม่ขึ้น” เพราะ ครม.เป็นผู้กด “ไฟเขียว” เอง จู่ๆ จะมา “กลืนน้ำลาย” ง่ายๆ ก็ไม่น่าจะสวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานะของ กสทช. ที่ถือเป็น “องค์กรอิสระอื่น” ตาม รธน. ที่ ครม.ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายกระบวนการใดๆได้ อีกทั้ง พ.ร.บ.กสทช. ฉบับปัจจุบัน ก็ไม่ได้กำหนดแนวทางชะลอหรือยุติการสรรหา กสทช. หากเข้าสู่กระบวนการสรรหาแล้วแต่อย่างใด
การสรรหากรรมการ กับการพิจารณากฎหมาย ถือเป็นเรื่อง “คนละมิติ”
ครั้นจะไปกะเกณฑ์ว่าให้รอกฎหมายใหม่แล้วเสร็จ ก็อาจเข้าข่าย “ฝ่ายบริหาร” ก้าวก่ายการทำหน้าที่ของ “ฝ่ายนิติบัญญัติ” ข้อหาร้ายแรง ทำ “ตกเก้าอี้” เอาง่ายๆ ยิ่งกว่าคดีพักบ้านหลวงที่เพิ่งแคล้วคลาดมาซะอีก
อาจจะเป็นอาการ “เคยตัว” ก็เป็นได้ เพราะสมัยที่ “ลุงตู่” ยังเป็นหัวหน้า คสช. เคยออกคำสั่งแก้ไข พ.ร.บ.กสทช. และชะลอการสรรหา กสทช.ชุดใหม่ มาแล้วถึง 5 ครั้ง
ต้องไม่ลืมว่า วันนั้น “ทำได้” เพราะมี “คาถาสารพัดนึก” อย่าง “มาตรา 44” อยู่ แต่ปัจจุบัน “มาตรา 44” รวมทั้งคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่เกี่ยวกับ คสช.ได้ถือว่า “สิ้นสภาพ” ไปแล้ว ตั้งแต่มติ ครม.เมื่อ 16 มิ.ย. 63 ที่ให้มีการเริ่มกระบวนการสรรหา กสทช.นั่นแหละ
เป็นเหตุให้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) พร้อมด้วย “กูรูกฎหมาย-เนติบริกร” กำลังง่วนหา “ทางหนีไฟ” ให้ไม่ผิดกฎหมายกันหัวหมุน
ก็ไม่รู้ “ลุงตู่” จะ “จองเวร” อะไรมากมายกับ กสทช. ตั้งแต่สมัยรัฐบาล คสช. มาจนถึงรัฐบาลเลือกตั้ง จนไม่ยอมปล่อยให้กระบวนการเป็นไปตามธรรมชาติ-ตามกฎหมาย ครั้นจะอ้างว่าให้มีการปฏิรูปภารกิจ กสทช. เสียก่อนค่อยสรรหากรรมการใหม่ ก็ “อ้างไม่ขึ้น” ที่ผ่านมา ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่ามีการปฏิรูปใดๆ เลย จะมีก็แต่ภารกิจหลักประมูลคลื่น “หมื่นล้าน-แสนล้าน”
เป็นเค้กก้อนเบ้อเริ่มที่ “ลุงๆ” จ้องตาเป็นมันเบื้องลึกเบื้องหลัง “ใบสั่ง” ให้ล้มกระบวนการสรรหา กสทช.ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ “เด็กในคาถา” ของ “ลุงผู้น้อง” เกิดมี “ตำหนิ” ดันไม่เช็ก “คุณสมบัติ” ตัวเองให้ดี เพิ่งมีคนทักว่า “ต้องห้าม” ตาม “มาตรา 7 ข. (12)” ของ พ.ร.บ.กสทช. ที่ระบุว่า “เป็นหรือเคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ ผู้บริหาร ที่ปรึกษา พนักงาน ผู้ถือหุ้น หรือหุ้นส่วนในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนหรือนิติบุคคลอื่นใดบรรดาที่ประกอบธุรกิจด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ในระยะเวลา 1 ปีก่อนได้รับการเสนอชื่อ”
ปรากฏว่า “เด็กลุง” นั่งคร่อมกรรมการบอร์ดรัฐวิสาหกิจดัง ที่ดันถือใบอนุญาตกับ กสทช. และยังเป็นคู่สัญญากับโอเปอเรเตอร์เอกชนทุกเจ้า กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว กฎหมายเขียนชัดว่าต้องเว้นวรรค 1 ปีเต็ม ลาออกวันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่ทัน เดือดร้อน “ลุง” ต้องสั่งให้หาทางชะลอกระบวนการสรรหา กสทช.ไปอีกอย่างน้อย 1 ปี
ใครได้ ใครเสีย ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ประชาชนเจ้าของประเทศ กระทบแน่ เพราะแม้ยังมี กสทช.รักษาการทำหน้าที่อยู่ แต่เสียงก่นด่าอื้ออึง “ซอยสายลม” ว่า ชุดรักษาการสับ “เกียร์ว่าง” มานานแล้ว ทำให้ “องค์กรแสนล้าน” แห่งนี้เข้าโหมด “สุญญากาศ” ก็ไม่ปาน
น่าแปลกที่ “ลุงผู้น้อง” ดูจะจับจดกับ “เด็กสร้าง” ว่าต้องรายนี้เท่านั้น ลงทุนล้มกระบวนการสรรหาแบบสุ่มเสี่ยงจะตกพุ่มซวยไปด้วยเพื่อ “คนๆ เดียว” ทั้งๆ ที่แคนดิเดตอีกกว่า 80 คน ก็ไม่ได้ขี้ริ้ว ล้วนแล้วแต่ประเภท “ดี-เด่น-ดัง” แต่กลับไม่ชายตามอง
โดยเฉพาะ “เด็กในมุ้ง” ของ “ลุงผู้พี่” ที่เดิมเป็นตัวเก็ง-เต็งหนึ่ง ด้วยประสบการณ์ระดับ “เต้ยในวงการ” คาดกันว่าจะได้เถลิงอำนาจเป็น “ประธาน กสทช.” เสียที ก็เหมือนไม่ถูกใจ “ลุงผู้น้อง” ซะอย่างนั้น
หรือจะเป็นว่า “ลุงผู้น้อง” จะเกิดไม่วางใจ “ลุงผู้พี่” ก็เลยต้องวางคนของตัวเองเข้าไปคุมเกมเท่านั้น
จนอาจกลายเป็น “สงครามตัวแทน” ของ “สองลุง” ที่หน้าฉากดูรักกันดี แต่หลังฉากชิงเหลี่ยมกันตลอด
แล้วถ้าแผนการของ “ลุงผู้น้อง” สำเร็จ ที่แน่ๆ อานิสงส์ ผลบุญตกกับ กสทช. ชุดปัจจุบัน ที่จริงๆ สิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งไปตั้งแต่เดือน ต.ค. 60 ที่ผ่านมาแล้ว ดำรงตำแหน่งมาแล้วมาตั้งแต่เดือน ต.ค. 54 จากเดิมกฎหมายกำหนดให้อยู่ 6 ปี ทำไปทำมาเป็น “ปู่โสม”กันรวมแล้วกว่า 10 ปี
จนหลายคนอิ่มตัวก็ลาออกไปกินตำแหน่งอื่น อีกหลายคนก็พ้นวาระด้วยมีอายุเกิน 70 ปีตามที่กฎหมายกำหนด
ทำให้ตอนนี้กรรมการ กสทช. เหลือกันอยู่ 6 จาก 11 รายตามกฎหมายเก่าเท่านั้น อีกทั้ง 2 ใน 6 ราย คือ “บิ๊กอ้อ” พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร และ ประเสริฐ ศีลพิพัฒน์ อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ไปแล้ว ซึ่งตามกฎหมายเดิมกำหนดให้หมดวาระทันที แต่ได้มีคำสั่งหัวหน้า คสช.แก้ไขให้ทำหน้าที่ไปพลางก่อนกลายเป็น กสทช.ชุดประวัติศาสตร์ที่แท้ทรู