เมืองไทย 360 องศา
ต้องออกตัวก่อนว่าไม่ได้มีเจตนา “เหยียด” หรือ “บูลลี” อะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องการสื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของบางคนว่าไปในทิศทางไหนเท่านั้น โดยเปรียบเทียบกับเมื่อหลายปีก่อน มาจนถึงปัจจุบันว่าทำไมถึงออกมาในรูปนี้ไปได้
แน่นอนว่ากำลังพูดถึงการเคลื่อนไหวแบบ “รัวๆ” ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังหลบหนีคดีทุจริตหลายคดีในต่างประเทศ ซึ่งหากพูดกันแบบตรงไปตรงมา ก็คือ กำลังช่วยหาเสียงการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ “นายก อบจ.” นั่นเอง เพราะในช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้โพสต์จดหมายที่เขียนด้วยลายมือ ด้วยภาษาท้องถิ่นในแบบ “อู้คำเมือง” ในทุกรูปแบบ ทั้งลูกออดอ้อน ทั้งสร้างความฝันในวันเก่าๆ และให้ร่วมกันสร้างฝันกันใหม่ในอนาคตข้างหน้า เพื่อให้ชาวเชียงใหม่ช่วยกันสนับสนุนผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ให้ได้เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ให้ได้
ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันถึงบรรยากาศการแข่งขันในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ดังกล่าว นาทีนี้ใครๆ ก็รู้ว่ามีการแข่งขันกันหลักๆ แค่สองคนเท่านั้น นั่นคือ นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย กับนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ที่สมัครในนาม “กลุ่มเชียงใหม่คุณธรรม”
จะว่าไปแล้วทั้งคู่ล้วน “เคยเป็นคนกันเอง” ทั้งนั้น แต่มาแตกคอกัน หลังจากฝ่ายหลังถูกกล่าวหาจาก “ครอบครัวชินวัตร” ทำนองว่าเป็น “คนทรยศ” ระแวงว่าเอาใจออกห่างไปเข้ากับฝ่าย “พลังประชารัฐ” หรือจะด้วยเหตุผลอื่นที่นอกเหนือไปกว่านี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่าทั้งตระกูล “บูรณุปกรณ์” กับ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ต้องเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรง ในแบบ “ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ” ก็แล้วกัน
สิ่งที่น่าพิจารณามากไปกว่านั้นก็คือ “การเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร” ในช่วงนี้ที่ถือว่าเป็นการ “ลดระดับ” ลงมา “ลุยเอง” แบบที่เห็นถือว่าไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะหากให้เปรียบเทียบระดับ “นายใหญ่” มีแต่ “บงการอยู่ข้างหลัง” สั่งลูกน้องซ้ายหัน ขวาหัน หรือ “ชี้นกเป็นไม้” อะไรแบบนี้
แต่การที่ นายทักษิณ ชินวัตร ลงมาลุยเองแบบนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังเป็นการเมืองในระดับท้องถิ่น มันก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นภาพความ “ผิดปกติ” ออกมาอย่างรุนแรง
ในความหมายก็คือ การสะท้อนให้เห็นว่าเขา “เริ่มหมดสภาพ” ทั้งในเรื่องของ “บารมี” ที่หดหาย สั่งการใครไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะภาพการต่อสู้กันในสนามเลือกตั้ง นายก อบจ.เชียงใหม่ มันเหมือนกับการสู้กันระหว่าง นายทักษิณ ชินวัตร กับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ที่เคยเป็นระดับ “ลูกน้อง” ซึ่งหากพูดกันแบบไม่อ้อมค้อมกันก็คือ เป็นแค่ระดับ “ลูกน้องปลายแถว” แม้กระทั่งเรียกว่า “เด็กในบ้าน” ยังไม่ถึงระดับนั้นด้วยซ้ำไป
ในยุคที่ ทักษิณ ยังเปล่งบารมีสุดขีด รวมไปถึงนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ที่ถือว่าเป็น “ตระกูลการเมือง” ในพื้นที่เชียงใหม่ ที่เป็นทั้งลูกน้องและพันธมิตรกันมาอย่างยาวนาน มีคนในตระกูลนี้เป็น ส.ส.พรรคไทยรักไทย เรื่อยมาจนถึงพรรคเพื่อไทย ในเวลานี้ก็ยังมีให้เห็น
แต่ก็อย่างว่า เมื่อ “สถานการณ์เปลี่ยน คนก็ย่อมเปลี่ยนตาม” ซึ่งมีหลากหลายเหตุผลให้อธิบาย และสาเหตุสำคัญก็มาจากท่าที และความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร เองด้วย จากการที่เดินเกมทางการเมืองผิดพลาดมาตลอด จนแม้ล่าสุดที่มีการเลือกตั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่เขาให้ “แผนแตกแบงก์ย่อย” และเล่นใหญ่เกินตัว จนนำมาสู่การถูกยุบพรรคไทยรักษาชาติ
ขณะเดียวกัน ในฐานะที่ถูกมองว่าเป็น “นักธุรกิจการเมือง” เมื่ออ่านสถานการณ์แล้ว ยังไม่อาจพลิกกลับมาเป็นรัฐบาลและในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เขา “ไม่ค่อยลงทุน” นัก จนมีเสียงบ่นเสียงดังๆ ออกมาว่า “ท่อน้ำเลี้ยงหยุดไหล” มานานแล้ว เมื่อเทียบกับฝ่ายตรงข้าม ที่มี “พลังดูด” รุนแรง และเชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้เห็นพรรคเพื่อไทย “เลือดไหล” ไม่หยุด แน่นอน
เมื่อวกกลับมาพิจารณาในภาพรวมเพื่อโยงมาถึงสนามเลือกตั้งท้องถิ่น อย่างการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ที่กำลังจะมีการหย่อนบัตรในวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคมนี้ ที่ทำให้นายทักษิณ ชินวัตร พร้อมทั้งคนในครอบครัวชินวัตร ทุกคนที่ลงทุนออกแรง ลงมาคลุกฝุ่นกันอย่างที่เห็น ด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึง “ความถดถอย” อย่างชัดเจน เป็นการลดระดับ “เพดาน” จาก “นายใหญ่” ลงมาเป็นแค่ “หัวคะแนนท้องถิ่น” เท่านั้น
ที่สำคัญ งานนี้หากผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร ต้องพ่ายแพ้ให้กับ นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ แล้วละก็ดูไม่จืดแน่ และเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจที่ออกมา มันก็น่าหวาดเสียวเสียด้วย เพราะเมื่อเชียงใหม่ถือว่าเป็นบ้านเกิด เป็นฐานเสียงหลัก หากรักษาเอาไว้ไม่ได้ มันก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน แต่ขณะเดียวกัน อาจเป็นเพราะมองเห็นสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีดังกล่าว ถึงต้องออกมาเสี่ยงเทหมดหน้าตักอย่างที่เห็น !!